วันพฤหัสบดี, เมษายน 21, 2559

ซำบายดีบ่ ตอนที่4 หลวงพระบาง

เราเข้าไปเช็คอินที่เฮือนรัตนาเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนเจ้าฟ้างุ้มหน้าวัดมหาธาตุและถนนสุวรรณบัลลังค์ที่เลียบแม่น้ำโขง  เรือนรัตนามีอยู่สองตึก  บ้านตึกกับเรือนไม้  ผมโชคดีได้นอนที่เรือนไม้  แม้อากาศกลางคืนจะหนาวอยู่บ้างแต่พื้นไม้กระดานชั้นสอง เรือนฝาปะกนให้ความรู้สึกเดิมๆสมใจ  ภายในห้องมีเตียงใหญ่สองเตียงกั้นกลางด้วยโต๊ะหัวเตียง  มีหน้าต่างหัวนอนและด้านข้างรวม 4 บาน  อีกด้านหนึ่งเป็นห้องน้ำ  มีน้ำอุ่นให้อาบ แต่ห้องน้ำเป็นแบบห้องเปียก  ทางเดินปลายเตียงมีโต๊ะเครื่องแป้งและราวแขวนเสื้อผ้าทำจากไม้ ใต้ราวเป็นชั้นสามารถพับผ้าวางของและกระเป๋า   เรารีบอาบน้ำและทำธุระส่วนตัว  เขานัดกันหกโมงเย็นพบกันที่ข้างล่าง  มีลานเล็กๆระหว่างอาคารสองหลัง และหน้าชานบ้านตึกมีชุดเก้าอี้ทานข้าวสองชุดให้นั่งเล่นได้  ห้าโมงผมก็ออกมาเดินข้างล่างแล้ว  ผมเดินออกไปที่ริมแม่น้ำโขง ตลิ่งแม่น้ำโขงสูงเอาการ  เขาทำเขื่อนไว้ แต่มีบางช่วงมีช่องบันไดให้เดินลงไปได้  มีร้านอาหารอยู่หลายร้านปลูกสร้างบนตลิ่ง  ผมหาทางลงไปยังตลิ่งข้างล่างจนได้  บางช่วงเป็นดินเลนต้องเดินอย่างระมัดระวัง  มีเพื่อนตามกันมาหลายคน และได้บันทึกภาพฟ้าสีทองกับพื้นน้ำโขงสมใจ  บันทึกภาพเสร็จรีบปินตลิ่งกลับไปที่เรือนพักเพื่อสมทบกับเพื่อนคนอื่น



หกโมงนิดๆเราออกเดินไปทางถนนฟ้างุ้มไปถึงสี่แยกกลางเมือง  เห็นเขาตั้งเวทีจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดกลางคืน  ร้านอาหารที่เราไปเลี้ยวขวาที่สี่แยกไปอีก 300-400 เมตร  เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างทันสมัย  ทำอาหารไทยลาว  ตกแต่งร้านด้วยเครื่องตกแต่งแบบลาว  ทุกโต๊ะถูกจองหมด  เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวคนไทยเป็นส่วนใหญ่  อาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าทยอยมา  มีอาหารที่เป็นปลาแม่น้ำเปรี้ยวหวาน  น้ำพริกผักต้ม  ไข่เจียว ผัดผัก ต้มยำ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง  รสชาติอาหารกลางๆ  เราทานกันจนสองทุ่มจึงได้ย้อนกลับมาที่สี่แยกกลางเมืองเพื่อไปถนนคนเดิน  เขากำลังมีการแสดงที่เวทีพอดี  เป็นระบำฟ้อนแบบลาว  บางชุดเป็นการแสดงของชาวม้งลาว  ผมยืนดูสักพักหนึ่งจึงได้ไปถนนคนเดิน  ของที่นำมาขายบนนถนนคนเดินคล้ายๆกับที่เชียงใหม่  เสื้อผ้าและของที่ระลึกเป็นหลัก และสินค้าอีกส่วนมาจากจีน  ร้านรวงข้างทางตกอยู่ในมือของคนจีน  มีเครื่องเงินและหยกขาย  เจ้าของร้านและลูกจ้างพูดไทยไม่ชัด ล้วนมาจากแผ่นดินใหญ่  ส่วนบนถนนที่กางเตนท์ไว้มักเป็นชาวบ้าน  นำเอาผ้านุ่ง ซิ่น เสื้อที่ตัดจากผ้าทอ  งานฝีมือพื้นๆ มาวางขาย  ผมเจอร้านกาแฟสดจากกาแฟลาวอดไม่ได้จะดื่มสักแก้วแม้จะดึกแล้วก็ตาม  รสชาติดีทีเดียว  แก้วละ 35 บาท  ชำระเป็นเงินไทย  เดินเลือกแหวนเงิน  เขาบอกว่าเป็นเงินตางค์กับหินสี  ดูแล้วน่าจะเป็นผงหินผสมเรซินเสียมากกว่า  เห็นแบบเก๋ดีเลยซื้อมาใส่เล่นวงหนึ่ง  ราคาเพียง 200 บาท  กลับมาบ้านลองเอาบราสโซขัดดู  มันลอกเห็นเนื้อทองเหลืองข้างใน  วันนี้เล็งไว้ว่ามีอะไรน่าสนใจเดินพอเพลินๆ  ถนนไปสุดเอาที่หน้าพระราชวังตรงวัดพูสี  หลังจากนั้นก็ซาไป  แต่ยังเห็นร้านอาหาร ร้านรวงเปิดอยู่ไปจนถึงแยกวัดแสน  เดินจนสี่ทุ่มกว่าจึงได้ย้อนกลับมา  ผมกลับมาถึงห้องบางคนก็กลับมาแล้ว  ป๋าเทพขนเอาเบียร์ในกระเป๋าออกไปเปิดที่หน้าชานบ้าน  ผมเลือกอาบน้ำและนอนดูรูปจากกล้องดีกว่า  จะได้รีบนอนเพราะรุ่งเช้าต้องตื่นกันแต่เช้าออกไปดักแถวพระที่มาบัณฑบาตรข้าวเหนียว  ป๋าเทพกลับมากี่โมงผมไม่ได้ดูนาฬิกา  มาถึงป๋าก็อาบน้ำแล้วก็นอน  คืนนี้นอนไม่สบายนัก  อาการคัดจมูกน้ำมูกไหลเป็นหนักจนหายใจไม่ออก


ตักบาตรข้าวเหนียว
เช้าวันรุ่งขึ้นนาฬิกาปลุกผมตีห้า  ผมลุกขึ้นมาพบว่าป๋าอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เมื่อผมอาบน้ำออกมาจึงได้มีเวลาคุยกับป๋าถามไถ่กันเมื่อคืนไปไหนมา  ป๋าจัดวางข้าวของเป็นระเบียบเช่นเคย  ตรงหัวเตียงและบนโต๊ะเรียงของไว้เป็นแถวเรียงให้หยิบง่ายๆ  พอได้เวลานัดหมายเราก็ลงไปที่หน้าชานบ้าน  ฟ้ายังมืดอยู่ เสียงพูดคุยกัน  พวกผู้หญิงคุยกันแต่ว่าซื้ออะไรได้มา  บางคนก็ใส่ชุดที่ซื้อมาใหม่เลยก็มี  ได้เวลาเราเดินออกไปหน้าวัดมหาธาตุ  ตรงนั้นเขาปูเสื่อรอไว้บนฟุตบาท พร้อมกระติ๊บข้าวเหนียว  ทางเฮือนรัตนาเขาจัดไว้ให้  แต่ทำเลไม่ค่อยดีนักเพราะมีคนเอารถมาจอดไว้ริมถนน  2 คัน  ต้นไม้ของวัดยื่นออกมาทำให้ตรงนั้นค่อนข้างมืด แต่พอมีไฟถนนเหลืองจัดส่องลงมาบ้าง   ถัดจากแถวของเรามีแม่อุ๊ยยกเก้าอี้มานั่งรอใส่บาตรด้วย  ผมถือโอกาสเข้าไปตีสนิทพูดคุย แต่จริงๆแล้วผมต้องการรูป  ถามแม่ว่าจะทราบได้อย่างไรว่าพระจะมาแล้ว แม่บอกที่วัดจะย่ำกลองก่อนเพื่อให้ชาวบ้านตื่นขึ้นมาประกอบอาหาร  และจะมีการย่ำกลองอีกทีหนึ่งก่อนออกมาบิณฑบาตร  ชาวบ้านจะใส่แต่ข้าวเหนียวลงบาตร  พอสายๆก่อนเพลจะยกสำรับไปถวายที่วัด  รอสักพักพระก็มา  ผมเห็นทุกคนยกกระติ๊บขึ้นจบแล้วก็จกข้าวเหนียวในกระติ๊บพอคำใส่ลงไปในบาตร  ผมสังเกตว่าบางทีก็มีเด็กมานั่งอยู่ด้วย เด็กๆจะเอาถังไม่ก็ถุงพลาสติกมากางไว้  พระบางรูปผ่านก็จะโยนอะไรบางอย่างลงไป  พอพระชุดแรกผ่านไปผมสอบถามได้ความว่าพระจะทำทานด้วยเช่นกัน  คืนให้ด้วยขนมบ้าง ปั้นข้าวเหนียวบ้าง  ขนมมีทั้งขนมโบราณ ข้าวต้มข้าวโยน  บางทีก็เป็นทอฟฟี่  กล้วย เซี่ยงไฮ้ก็มี  ผมเห็นเด็กม้ง 3 คน อยู่ไม่ไกลเข้าไปถามว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง  เด็กเปิดถุงให้ดู แต่ละคนได้ข้าวเหนียวรวมแล้วคนละเกือบครึ่งถุงทีเดียว เด็กน้อยยิ้มร่า  อย่างน้อยวันนี้บ้านเขาไม่อดแล้ว
ออกมาใส่บาตร  แม่อุ๊ยแต่งกายงดงาม  นุ่งซิ่น สวมเสื้อ ห่มสไบพร้อมกระติ๊บข้าวเหนียว

วันนี้ร้านนางแอมีนักทอดปาติโสกิตติมศักดิ์

ตักบาตรเสร็จเราเดินไปทานข้าวเช้ากัน  เขาพาเราไปตามถนนเชษฐาธิราช  ตลาดดาราเป็นตลาดเช้าอยู่เยื้องกับร้านอาหารที่เราทานข้าวเมื่อคืน  ร้านนี้ชื่อนางแอ   เป็นอาคารพานิชริมถนน  หน้าร้านตั้งกะทะทอดอะไรสักอย่างคล้ายเปาะเปียะ  ข้างในร้านเขาทำอาหารเช้าจำพวกไข่กะทะ มีน้ำเต้าหู้ และขนมปังบาแกตหรือขนมปังฝรั่งเศสนั่นเอง  ข้างหน้าร้านวางโต๊ะเตี้ยๆและเก้าอี้ไว้ 4-5 โต๊ะ  พวกเราเข้าไปจับจองเต็มจนต้องนั่งเบียดๆกัน  ผมมองดูเขาเอาแป้งห่อผัก หน้าตาคล้ายๆกะหรี่พัฟลงไปทอด  ได้ความว่าเป็นอาหารถิ่นแรกเริ่มของที่นี่ ปัจจุบันมีร้านนี้เท่านั้นที่ยังทำอยู่ เรียกปาติโส  มันไม่เหมือนกะหรี่พัฟตรงที่ข้างในแฉะกว่า มีไส้ผัก มันแกว ไส้เผือก  ใครที่สั่งขนมปังบาแกตมาทานด้วยพร้อมไข่กะทะและปาติโสกว่าจะกลืนลงไปจนหมดใช้เวลาไม่น้อยเพราะมันค่อนข้างเลี่ยน  เสร็จจากอาหารเช้าเขาให้เรากลับห้องพักก่อนเพื่อไปเตรียมตัวและทำธุระส่วนตัว  ผมถามหาร้านขายยาที่ เรือนรัตนา เขาบอกให้ผมไปซื้อตรงข้ามตลาดดาราที่เราไปทานข้าวเช้า เป็นอันว่าผมต้องย้อนกลับไปอีก  เมื่อเช้าหมอกลงไม่ค่อยเห็นอะไร แต่กลับไปสายๆผมเห็นเขานำดอกไม้และกระทงดอกไม้สำหรับบูชาพระมาขายตามถนนเชษฐาธิราช  มีส้มและสับปะรดลูกเล็กๆมาขายด้วย  ร้านขายยาเป็นยาที่นำมาจากเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่  ผมถามหายาแก้แพ้อากาศ  แทบจะขอดูทั้งหมดเพื่อเลือกว่าตัวไหนทานแล้วไม่ง่วงนอน  กระหืดกระหอบกลับมาถึงเรือนรัตนาทันเวลานัดพอดี   

วันนี้เราเที่ยวกันภายในเมืองเก่าหลวงพระบาง  เราเดินย้อนกลับมาที่สี่แยกกลางเมืองอีก  จากที่พักไม่ไกลราว 200 เมตรเท่านั้น  เราจะเดินไปบนถนนฟ้างุ้มที่กลางคืนดัดแปลงเป็นถนนคนเดิน  เดินไปจนสุดถนนที่หัวแหลมแม่น้ำโขงบรรจบกับแม่น้ำคาน  วัดแรกที่เราผ่านไปคือวัดใหม่สุวันพูมาราม (สุวรรณภูมาราม)  พระเจ้าอนุรุทธสร้างไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2337 ราวต้นรัตนโกสินทร์ และมาบูรณะต่อเติมในสมัยพระเจ้ามังธาตุราช เลยเรียกกันว่าวัดใหม่  ลักษณะวิหารเป็นแบบผสมผสานหลังคาซ้อนหลายชั้นเหมือนสิมไทยลื้อ แต่หลังคาลาดยาวอ่อนช้อยแบบสิมหลวงพระบาง ที่แปลกคือเขาสร้างหอขวางไว้ด้านหน้าและด้านหลัง ลักษณะหอขวางแทนที่จะมีหลังคาลาดลงมาคุ้มแดดฝน กลับกลายเป็นเหมือนสร้างศาลาสองหลังมาปิดหัวปิดท้ายท้าย   ที่ด้านนอกวิหารเขาทำภาพนูนต่ำดาดหรือพอกทองเป็นเรื่องราวพระเวสสันดร  และเห็นเครื่องแต่งกายประเพณีของชาวหลวงพระบางในยุคร้อยกว่าปีก่อน เห็นการใช้ช้างเป็นพาหนะ มีเรืออยู่ในลำน้ำโขง  เยื้องไปเบื้องหลังปราสาทเห็นเรือนแบบเชียงม่วน ซึ่งเป็นเรือนแบบดั้งเดิม  ผมเสียเวลารอถ่ายรูปนานพอสมควร  ผมแปลกใจอย่างว่าคนสมัยนี้ไปเที่ยวไหน ต้องมีรูปตัวเองอยู่ทุกที่ทุกมุมเพื่อบอกว่าฉันมาถึงแล้ว  ใช้เวลาถ่ายรูปตัวเองมากกว่าที่จะศึกษาหาความรู้ว่าสถานที่นั้นมีอะไร  พูดได้ว่าขอให้ขึ้นชื่อว่าเคยมาก็พอแล้ว แต่ก็อย่างว่านะครับ ไม่อ่านหนังสือ ไม่มีความสนใจ ดูอะไรก็ไม่ออก เห็นอะไรก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้จะเสียเวลาดูไปทำไม  สิ่งที่ไม่เข้าใจก็ไม่คิดจะศึกษาหาความรู้  ก็เหมาะแล้วกับการใช้เวลาถ่ายรูปตัวเอง หลงตัวเองไปเรื่อยๆ  เมื่อบ่นมาถึงตรงนี้ ผมเข้าใจเลยว่าทำไมฝรั่งจึงเจริญกว่าไทย เพราะเขาใฝ่หาคำตอบ  ครั้งหนึ่งมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะมาเยี่ยมภาควิชา  เขาเขียนอีเมล์มาถามล่วงหน้าว่าวันหยุดสุดสัปดาห์จะพาเขาไปไหน  เมื่อได้คำตอบว่าจะพาไปบางปะอิน เขาทำการบ้านอ่านเกี่ยวกับวังบางปะอิน  เขาเป็นฝ่ายอธิบายว่าพระที่นั่งนี้เดิมทาสีอะไร ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีอะไร องค์ไหนไฟไหม้ องค์ไหนใครสร้าง สร้างปีไหน  อาจารย์ไทยที่พาไปไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว และไม่ได้รู้สึกอับอายเลยสักนิดว่าบ้านเมืองตัวเองแท้ๆกลับไม่รู้อะไร 
พอกคำโถงหน้าสิมวัดใหม่สุวรรณภูมา

ภายในสิมวัดใหม่


พระประธานแบบล้านช้าง  พักตร์เป็นสามเหลี่ยม พระเนตรเบิกโต  ทรวดทรงผอม
พระธาตุบรรจุพระสรีรังคารพระเจ้าอนุรุทราชและพระเจ้ามังตุราช
เมื่อเข้าไปภายในวิหาร  เห็นว่าภายในเขียนลายพอกคำไว้ที่เสาและขื่อคาน  คำว่าพอกคำ ตรงกับภาษาล้านนาว่าลายคำ  คือมีการลงรักดำหรือแดงก็สุดแล้วแต่แล้วเขียนลายเส้นทองลงไป   ผนังปูนลงรักแดง  ครึ่งบนฝังพระพิมพ์ไว้  หน้าต่างเป็นบานลูกฟัก  พระประธานองค์ใหญ่สูงโปร่ง มักทำพักตร์ยาว เนตรเบิกโต  สวมเครื่องประดับตั้งอยู่บนฐานชุกชี  เยื้องด้านหลังมีเจดีย์ธาตุซ้ายขวา  เชื่อกันว่าเป็นของพระเจ้าอนุรุทธราช และพระเจ้ามังธาตุราช   ทั้งสองพระองค์บูรณะวัดใหม่จนเป็นดังภาพเห็นทุกวันนี้  ธาตุมีรูปทรงเช่นธาตุพนม มีการปั้นปูนประดับกระจก ปั้นลิงและยักษ์ประดับฐานสี่เหลี่ยมโดยรอบ ในวิหาร(ลาวเรียกวิหารว่าสิม หรือสีมาในภาษาไทย) มีพระมณฑปไม้ ตู้พระธรรมวางเรียงราย  ยังดูไม่ทันจะแล้วเขามาตามว่าเราจะไปกันต่อ  เลยต้องจำใจออกไปเห็นอูบมุง หรืออุโมงค์ในภาษาไทยสองหลัง  ลักษณะคล้ายสถูปเป็นวิหารเล็กๆเขาสร้างอูบมุงไว้ประดิษฐานพระพุทธรูป

จิตรกรรมวัดป่ารวก
ออกมาสู่ถนนใหญ่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงพระราชวังเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์   ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลาว  ด้านหน้าวังมีหอพระ เป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง  ผมเดินขึ้นหอพระแต่เขาไม่ให้ถ่ายรูป  เขาตกลงกันว่าวันนี้เรายังไม่เข้าพิพิธภัณฑ์  ผมกลับลงมาเห็นเพื่อนร่วมทางหลายคนลงไปเลือกซื้อผ้าขาวม้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย  หากรู้ว่ารีบออกมาเพื่อมาซื้อผ้าขาวม้าผมคงเดินอยู่ในวัดใหม่ไปแล้ว  การซื้อของแบกะดินหน้าพิพิธภัณฑ์ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดเอาโดยง่าย  ผมมองไปอีกฝั่งถนนหน้าวังเป็นทางขึ้นพระธาตุพูสี  แต่ที่เชิงเขาเห็นวัดอีกแห่งหนึ่งจึงได้ข้ามถนนไปดู  วัดนี้ชื่อวัดป่ารวก เกือบจะเป็นวัดร้าง  สร้างในสมัยพระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ ปีพ.ศ. 2404  มีซุ้มประตูอยู่ด้านหน้า เลยเข้าไปเห็นสิมทรงเวียงจันทร์ แต่เครื่องประดับนาคสะดุ้ง ช่อฟ้าออกแนวไทยๆ  หน้าบันปั้นเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ  ด้านหน้ามีสามประตู บานกรอบบนประตูเป็นปูนปั้นลายดอกไม้และใบผักกาดแบบที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่3    เมื่อเข้าไปชมข้างในก็ตื่นตากับจิตรกรรมฝาผนังที่ยังอยู่ค่อนข้างสมบูรณ์เขียนเรื่องพระพุทธเจ้าปราบท้าวชมพูวดี ผสมผสานระหว่างเทวดาในเครื่องทรงไทย  คติความเชื่อเรื่องเขามอ ไม้มงคลแบบจีน มีริ้วขบวนทหารลาว มีทหารญวนและจีนร่วมรบ  มีลักษณะการเขียนเลียนแบบจิตรกรรมไทยยุครัตนโกสินทร์  ในวิหารมีพระประธานสามองค์เรียงกันบนฐานชุกชีเดียววางติดผนัง    ชมวัดป่ารวกเสร็จเดินออกมา พวกซื้อของก็ยังซื้อกันไม่แล้วเหมือนเพื่อนซื้อๆตามเพื่อน น่าเบื่อหน่ายแท้   ก่อนที่อารมณ์จะเดือดไปกว่านั้นก็เริ่มออกเดินต่อเพื่อตรงไปวัดแสนสุขาราม  ผมขอแยกตัวออกไปดูเฮือนเชียงม่วน  ทำไมผมต้องเจาะจงมาดูให้ได้ เพราะเรือนไม้แบบนี้ไม่มีเหลือแล้ว  ลักษณะเป็นเรือนไม้ใต้ถุนยกสูง อาจปลูกเป็นเรือนเดี่ยวหรือเป็นหมู่มีนอกชานแล่นถึงกัน  ลักษณะตัวเรือนแล่นยาว หลังคามีจั่วและลาดตามยาวสองด้าน   ด้านหนึ่งต่อเป็นชานมีผนังกั้นห้อง  และมีบันไดขึ้นมายังส่วนนอกชาน  แต่เดิมคหบดีนิยมปลูกหมู่เรือนแบบเชียงม่วนเป็นที่พักอาศัย ต่อมาความนิยมสร้างตึกแบบฝรั่งเกิดขึ้นจึงได้รื้อเรือนเดิมลงและสร้างใหม่จนเรือนแบบนี้สูญสิ้นเหลือเฮือนมรดกหลังนี้อยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น
วัดป่ารวก

ย่านบ้านเจ๊ก

ผมเดินย้อนกลับมาผ่านบ้านเจ๊ก  มีลักษณะเป็นชุมชนจีน  ร้านค้าข้างทางเป็นตึกแถวสองชั้นคล้ายกับตึกของสำนักงานทรัพย์สินในกรุงเทพฯ แต่เดิมเป็นชุมชนของชาวจีนที่มาตั้งบ้านเรือนค้าขาย บรรยากาศแถวนี้น่าเดินเล่นพอสมควรด้วยลักษณะสิ่งปลูกสร้างแบบโคโลเนียล แต่ปัจจุบันชุมชนโดนร้านขายวัตถุโบราณยึดครองไปกว่าครึ่ง   ผมมาสมทบกับเพื่อนๆที่วัดแสนสุขาราม  วัดแสนเป็นวัดที่อยู่หัวมุมสี่แยกพอดี  มีสิมหรือวิหารแบบหลวงพระบาง  ผมไปถึงประตูวิหารไม่เปิด  ภายนอกเขียนเป็นลายพอกคำบนพื้นแดง อยู่ในลักษณะที่เพิ่งทำใหม่ไม่นาน ผนังด้านข้างเขียนเป็นเทวดาถือดอกบัวประทับบนสัตว์  มีพระธาตุอยู่ด้านหน้ารูปทรงเหมือนพระธาตุพนม แต่องค์ย่อมและดูหวานกว่า เขาเอาราชรถมาจอดไว้และกำลังถ่ายทำการท่องเที่ยวหลวงพระบางอยู่พอดี  มีศาลาโถงอยู่หนึ่งหลังก่อหุ้มอูบมุงไว้ และมีวิหารน้อยอีกหนึ่งหลัง ด้านหน้าวิหารมีพระยืนสูงใหญ่ 18 ศอก เรียกกันว่าพะเจ้า 18 ศอก
สิมวัดคีรี  เป็นสิมทรงเขียงขวาง  หลังคาเทิบซ้อน หน้าบันเป็นรูปดวงตาเว็นหรือตะวัน

ลายคำด้านหน้าสิมวัดแสน

เรือนมรดกเชียงม่วน

ลายหน้าต่างแกะเป็นชูชกและกัญหา-ชาลี  ส่วนผนังประดับกระจก สิมวัดคีลี

ผมข้ามถนนเล็กๆต่อไปวัดสบสิกขาราม วัดสิริมงคลไชยราม วัดศรีบุญเรือง  ทั้งสามวัดมีพื้นที่ต่อเนื่องกันจนดูเหมือนวัดเดียว หันไปทางทิศเหนือเหมือนกัน   สิมของวัดสบตั้งอยู่บนพื้นยก  สร้างแบบสิมหลวงพระบางหลังคาซ้อนกันสามชั้น  ผนังภายในภายนอกเรียบๆ  พระประธานทรงเครื่อง  สิมวัดสิริมงคลเป็นสิมทรงเชียงขวาง  หลังคาเด่นของสิมแบบนี้ต้องดูด้านข้าง คือเป็นหลังคายาวชั้นเดียวแล้วมีหลังคาเล็กๆซอนเหมือนแปะไว้ด้านบนตรงกลาง เขาเรียกลักษณะแบบนี้ว่าเทิบซ้อน  การจัดวางแปลนอาคารเช่นเดียวกับล้านนาของเราคือมีธาตุเจดีย์อยู่ท้ายสิม  พระประธานปางมารวิชัย ภายในเขียนเป็นลายคำบนพื้นแดงเต็มพื้นที่  ส่วนสิมวัดศรีบุญเรืองเป็นสิมขนาดเล็กหลังคาชั้นเดียวแบบเรียบๆเขียนลายคำไว้เต็มทั้งภายในและภายนอก  ในบริเวณวัดมีกุฎิปลูกเรียงรายหลายหลัง ทรงคล้ายเรือนเชียงม่วน แต่ไม่ได้ยกใต้ถุนสูง  มีทั้งที่ก่อเป็นตึกและปลูกเป็นเรือนไม้  ถัดลงไปจากวัดทั้งสามเป็นวัดเชียงทอง  ส่วนทางฝากตะวันออกเป็นที่ตั้งของวัดเล็กๆชื่อวัดคีลี  ถ้าเขียนแบบไทยคือวัดสุวรรณคีรี   จุดเด่นของวัดคีลีคือสิมแบบเชียงขวาง มีขนาดกระทัดรัด เป็นสิมห้องเดียวต่อด้านหลังเป็นส่วนพระประธานติดผนัง  หน้าบันเป็นลายตะวันอย่างที่นิยมกัน  โก่งคิ้วเป็นรูปรวงผึ้ง ทางเข้าด้านหน้าเป็นระเบียง  สิมวัดคีลีเขียนลายคำเฉพาะด้านนอก ด้านในเป็นผนังปูนเรียบๆ  ลายคำด้านหน้าประตูทางเข้าเขียนเป็นลายเทพอารักษ์ มือถือพระขรรค์ ช่วงบนเป็นลายปูรณฆฏะ  หน้าต่างแกะเป็นลายลูกมะหวด  แถบนี้เป็นที่ตั้งบ้านเรือนชาวพวนจากเชียงขวาง  ชาวหลวงพระบางกับเชียงขวางมีสัมพันธ์สนิท เจ้านายทั้งสองเมืองเกี่ยวดองกันอยู่

ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้ว  เสบียงที่พกติดตัวมาแก้หิวได้แก่ แบงแบง แอ๊บเปิลล้วนหมดสิ้น  เลยตกลงใจว่าจะหาอะไรทานกันริมแม่น้ำโขง  เราเดินตัดหลังวัดสบออกไปหาถนนเลียบแม่น้ำโขง  เดินไปสักพักแต่ละคนเริ่มทนไม่ไหว  เห็นที่หน้าท่าลงเรือไปถ้ำติ่งมีร้านไก่ย่าง  ทุกคนกำลังหิวจัดสั่งส้มตำ ไก่ย่าง หมูย่าง ปลาเผามาเต็มดต๊ะ  เราขอให้เขาช่วยตั้งโต๊ะบนพื้นดินใต้ต้นมะขามขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ  ตลิ่งแม่น้ำอยู่สูงจากท้องน้ำมากเป็นสิบเมตร  ลมแม่น้ำมาเอื่อยอากาศกำลังเย็นสบาย  เรือในแม่น้ำมีแต่เรือข้ามฟาก สงบเงียบดีแท้

เราเดินกลับไปที่วัดเชียงทองตอนเกือบบ่ายสามโมง ภายในวัดมีนักท่องเที่ยวยังคงเดินไปมาขวั่กไขว่  วัดเชียงทองเป็นวัดสำคัญลำดับต้นของหลวงพระบาง  ผมเข้ามาทางด้านข้างวัด  สิมของวัดหันไปทางทิศเหนือ   มีบันไดนาคขึ้นมาจากถนนฝั่งแม่น้ำโขงด้านทิศตะวันตกเสมือนประตูใหญ่  นับเป็นวัดที่แปลกคือทางเข้าล้วนมาจากด้านข้างและด้านหลัง   พื้นที่โดยรอบมีอาคารไม่กี่หลัง  ติดรั้วด้านทิศเหนือหอราชโกศ ตรงกลางเป็นสิม  ด้านหน้าสิมฝั่งทิศตะวันออกมีหอไหว้ทรงอูบมุง  เยื้องไปด้านหลังอูบมุงเป็นหอไหว้วิหารพระนอน  หลังสิมเป็นหอพระม่าน  มีเจดีย์ธาตุอยู่ด้านข้าง  หอราชโกศเป็นอาคารหลังคาซ้อนกันสองชั้นแบบหลวงพระบาง ภายในเก็บราชรถอัญเชิญพระโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นไม้แกะสลักปิดทอง  หอนี้เพิ่งสร้างในปี 2502 ภายในทาสีแดง ผนังปูนประดับกระจกสีเป็นเรื่องราวชีวิตชาวลาว  ผนังส่วนที่เป็นไม้และหน้าต่างลงรักแดงและเขียนลายพอกคำ  ภายในมีมณฑป พระพุทธรูปและเครื่องประกอบราชูปโภควางไว้กับพื้น  ส่วนด้านหน้าอาคารเป็นภาพปูนปั้นนูนต่ำปรากฏที่หน้าบัน ผนังด้านหน้าและประตู ทาสีทอง เป็นเรื่องรามเกียรติ์ เป็นเรื่องการรบกันระหว่างยักษ์และลิง ข้างบานประตูเป็นรูปนางสีดาลุยไฟ 

โรงเมี้ยนโกศสลักเป็นเรื่องรามเกียรติ์

ราชรถอัญเชิญพระโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ฝีมือการแกะสลักของเพียะตัน
ภาพประดับดอกดวงบนผนัง และลายคำบนหน้าต่าง ภายในโรงเมี้ยนโกศ

สิมวัดเชียงทองเป็นอาคารแบบหลวงพระบางโดยแท้ หลังคาอ่อนช้อยลาดต่ำซ้อนกันสามชั้น  บนสันหลังคามีช่อฟ้าเป็นสัตตบริภัณฑ์อยู่บนหลังปลาอานนท์  สัตตบริภัณฑ์เป็นตัวแทนของภูเขาที่รายล้อมเขาพระสุเมรุรวม 7 ยอด สิมเชียงทองแบ่งเป็นหอสวดมนต์หนึ่งห้อง ด้านหน้าหอเป็นระเบียง  มีประตูเข้าจากด้านหน้า 3 ประตู และประตูจากบันไดข้างด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกอีกข้างละ 1 ประตู  ผนังด้านนอกลงรักดำเขียนลายพอกคำเป็นชุมนุมเทวดาและสัตว์ในหิมพาน ผนังทางด้านทิศตะวันออกมีเศียรช้างชูงวง  ปลายงวงเป็นทางออกของน้ำมนต์  น้ำที่สรงน้ำพระประธานจะไหลไปตามรางน้ำมนต์ออกสู่ภายนอกอาคาร  ผนังภายนอกด้านทิศใต้เป็นภาพประดับกระจกรูปต้นทอง  มีสัตว์น้อยใหญ่ รวงผึ้ง นกและนกยูงประกอบภาพ  ด้านบนเป็นภาพพระพุทธเจ้าปางเสด็จลงจากดาวดึงส์  ต้นทองที่ประดับอยู่หลังสิมเพิ่งมาทำคราวบูรณะวัดเชียงทองเมื่อปี พ.ศ. 2471 นี้เองในสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์  ชื่อวัดเชียงทองมีที่มาจากวัดตั้งอยู่ในดงต้นทอง (ต้นงิ้ว) พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโปรดให้สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2102     ประตูทางเข้าวิหารด้านหน้าเขียนเป็นลายพอกคำเกี่ยวกับพระสุธน-มโนราห์   เหนือประตูเป็นปูนปั้นทรงมณฑป  ภายในวิหารผนังโดยรอบเขียนเป็นลายพอกคำสีดำ  เป็นเรื่องราวพระยาจันทพานิชสถิตสุวรรณภูมิ  นายวานิชค้าหมากพลูจากเวียงจันทน์ที่เดินเรือมาค้าขายและในที่สุดเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบาง  เหนือกรอบหน้าต่างประตูเขียนเป็นลายปูรณฆฏะ  เสากลมลงรักแดงปิดทองลายพอกคำงดงาม
สิมวัดเชียงทอง
ภาพประดับดอกดวงรูปต้นทองท้ายสิม


ปูรณฆฏะ เทวดา คชสีห์ ครุฑ และสัตว์ในหิมพานต์

รางน้ำมนต์หัวช้าง

อูบมุงที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของสิม  ภายในมีพระพุทธรูปที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานแด่เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์  ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีหอไหว้สีกุหลาบหันหน้าไปทางทิศเหนือ  ด้านหน้าเขียนเป็นลายพอกคำ  ด้านข้างและด้านหลังประดับกระจกงดงามบนพื้นสีปูนกินหมาก เป็นเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ขของชาวหลวงพระบาง  รูปทรงของหอไหว้หลังนี้เป็นแบบไทลื้อชัดเจน ภายในหอไหว้หลังนี้มีพระพุทธไสยาสน์ไม้แกะปิดทอง  สวยงามมาก  ผรั่งเศสเคยนำไปจัดแสดงที่กรุงปารีสอยู่นาน  ภายหลังรัฐบาลลาวทวงคืน  ข้างหลังหอไหว้สีกุหลาบมีเจดีย์ธาตุแปดเหลี่ยมประดับกระจกสีน้ำทะเล  มีการประดับลายนักษัตรไว้สวยงาม   ส่วนด้านหลังสิมตรงกับภาพประดับกระจกต้นทองเป็นหอไหว้พระม่าน หอนี้เป็นหอสีกุหลาบประดับกระจกเช่นกัน  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินขาวจากพม่า  จึงเรียกหอพระม่าน  ม่านหมายถึงพม่านั่นเอง  ผมเที่ยวเล่นถ่ายรูปจนสี่โมงครึ่ง  นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลมาจนหมดสนุก แม้จะยังไม่หนำใจแต่ก็ต้องรีบออกเดินทางไปขึ้นพูสีเพื่อรอเวลาตะวันตกดินเย็น 
 
หอพระม่าน


จากซ้าย หอไหว้พระพุทธไสยาสน์ หอพระม่าน และสิมวัดเชียงทอง
หอไหว้สีกุหลาบ ประดับดอกดวงเป็นชีวิตชาวหลวงพระบาง
พระไสยาสน์แบบล้านช้างภายในหอไหว้

พูสี (ภูศรี ในภาษาไทย) เป็นภูเขากลางเมืองหลวงพระบาง  มีแม่น้ำโขงผ่านด้านทิศตะวันตกและแม่น้ำคานผ่านด้านทิศตะวันออก  มีบันไดขึ้นพูสีหลายทาง แต่ทางที่นักท่องเที่ยวถูกบังคับคือบันไดที่อยู่ตรงข้างพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลาว  สองข้างบันไดที่วกวนขึ้นพูสี เขาปลูกจำปาลาวไว้ (ลั่นทม)  แต่ละต้นมีอายุมากแผ่กิ่งก้านสาขางดงามมาก  กว่าจะไปถึงยอดทำเอาหอบพักอยู่สองครั้ง  ด้านบนเป็นพื้นที่แคบๆ ประกอบด้วยวิหารหนึ่งหลังเล็กๆหันไปในทางด้านทิศตะวันออก  ด้านทิศใต้เป็นพระธาตุพูสี พระธาตุกว้างด้านละ 10.5 ม. สูง 21 ม. ตัวธาตุตั้งอยู่บนพื้นยกฐานสี่เหลี่ยมย่อส่วนสามชั้น  เรือนธาตุเป็นดอกบัวสี่เหลี่ยมทรงสูงเหมือนพระธาตุ มีฉัตรทองเจ็ดชั้นประดับที่มุมทั้งสี่ พูสีถูกกำหนดให้เป็นสะดือเวียงเมื่อจะสร้างเมืองหลวงพระบาง  มีฤษีสองพี่น้องชื่ออามะละ และโยทิกะเป็นผู้กำหนด พระธาตุนั้นสร้างในสมัยพระเจ้าอนุรุทราช ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2347   ผมเดินถ่ายรูปรอบๆพอเห็นนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาหนาตาเลยต้องไปหาที่เหมาะๆนั่งจองที่รอตั้งแต่ห้าโมงยังไม่ครึ่งดี  เพียงไม่นานนักท่องเที่ยวแน่นจนแทบเดินไม่ได้ ดีที่ผมอดทนนั่งรอ  อาทิตย์ตกดินก็เป็นเรื่องธรรมชาติแต่บรรยากาศมันไม่เคยเหมือนเดิมแม้ในสถานที่เดิมๆ  สิ้นแสงฉานนักท่องเที่ยวหายตัวไปอย่างรวดเร็ว  ผมลงมาถึงข้างล่างฟ้ามืดพอดี  แสงไฟจากถนนคนเดินสว่างไสวมองเห็นหลังคาเตนท์ผ้าใบสีแดงงดงาม  เราเดินผ่านถนนคนเดินเพื่อกลับที่พัก อาหารค่ำคืนนี้เป็นข้าวปุ้น  ร้านอยู่ข้างหน้าปากซอยที่พักพอดี  เป็นบ้านตึกชั้นเดียวกำแพงหนามากแบบเก่า  เขามาตั้งร้านข้างหน้าบ้าน  เป็นโต๊ะเตี้ยๆ  เตาและหม้อลวกเส้นอยู่ข้างๆแคร่ที่วัตถุดิบแยกวางในภาชนะใหญ่น้อย  เขาใช้เตาฟืนจึงเห็นเขม่าจับเต็มกำแพงดำไปแถบหนึ่ง  ผมเห็นแผ่นป้ายโฆษณา 7-up เป็นป้ายเหล็กเก่าคร่ำคร่า  ถามเขาว่าขอได้ไหม เขาส่ายหน้า  ถามอีกว่าขอซื้อได้ไหม เขาก็ส่ายหน้าพึมพำตอบว่าถ้าเอาไปแล้วจะขายอะไร คนจะไม่รู้ว่ามีน้ำอัดลมขายทำนองนั้นครับ  หันมาพูดกับเพื่อนว่าดึกๆค่อยมาขโมย  หากผมย่องมาเอาไปนี่เขารู้แน่ๆว่าเป็นฝีมือผม  ข้าวปุ้นสองชามทำเอาอิ่มพอดี  ผมกินยาแก้แพ้ยาแก้ไข้ตามลงไปด้วย รู้สึกอาการยังไม่ค่อยดี  เพื่อนบางคนแยกกลับเข้าที่พักก่อน ส่วนผมได้ยาแล้วขอลุยถนนคนเดินต่อ   คืนนี้ซื้อกาแฟคั่วลาวบดหนึ่งถุงจากร้านกาแฟสดเจ้าประจำที่ต้องไปดื่มทุกคืน และซองแขวนจดหมายสำหรับพี่สาว   เดินจนสังขารไม่อำนวยจึงบ่ายหน้ากลับที่พัก  ผ่านหน้าเทศบาลเขาจัดงานส่งท้ายปีเก่า  คืนนี้เป็นโต๊ะจีนกับมีการแสดงบนเวที  ที่พักผมก็จัดเคาท์ดาวน์เช่นกันที่ลานบ้าน เป็นอาหารทะเลปิ้งย่าง เจ้าของบ้านเชิญชวนให้รับประทานกับเขา แต่ผมหมดแรงเสียแล้วจึงขอตัวกลับขึ้นห้องไปอาบน้ำร้อนนอนฟังเสียงพลุ  ส่วนเพื่อนร่วมห้องผมอาบน้ำเสร็จขนเบียร์ลงไปฉลองกับเขาข้างล่าง  ผมนอนหลับๆตื่นๆกับเสียงเฮและเสียงพลุ

อำลาปีเก่าบนยอดพูสี

พระธาตุพูสีคราคร่ำด้วยนักท่องเที่ยวยามเย็น

วันรุ่งขึ้นผมตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง  รีบล้างหน้าตาแต่งตัวออกไปบันทึกภาพตักบาตรข้าวเหนียวอีกรอบหนึ่ง แล้วจึงเถลไถลออกไปเดินตลาดเช้าที่อยู่เลยไปสองช่วงตึก  ตลาดเช้ามีโรงเรือนเพียงเล็กๆอยู่บนถนนอินทสมช่วงระหว่างแยกศรีสว่างวงศ์กับสุวรรณบัลลังค์  ถนนตรงนี้เป็นอาคารพาณิชย์เสมือนเมืองใหม่ ข้างตลาดเป็นถนนซอย  สองข้างทางมีพ่อค้าแม่ขายนำสิ่งของอาหารสด อาหารสำเร็จรูปมาวางขาย  มีทั้งของป่า ยาสูบ หมากพลู เสื้อ ผ้าทอมือ ร้านค้าสองข้างเป็นร้านโชห่วย มีสินค้าขายส่ง  เดินตลาดกันจนพอเหงื่อซึมก็ได้เวลานัดกลับไปรวมตัวกันที่พัก เรานัดทานข้าวเช้ากันที่ร้านนางแอเช่นเดิม  หลังจากข้าวเช้า เขาต้อนเราขึ้นรถตู้พาไปวัดวิชุนราช  วัดวิชุนเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองหลวงพระบาง  สร้างมาตั้งแต่ปี 2046 สมัยพระเจ้าวิชุนราชเพื่อประดิษฐานพระบาง (ปัจจุบันอยู่ที่หอพระบาง) ที่อัญเชิญมาจากวัดมโนรมย์  เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเมืองเชียงใหม่ในปี 2091 ก็เคยนำมาประดิษฐานไว้ที่นี่  วัดวิชุนเป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพิฒน์สัตยาต่อหน้าพระบางเมื่อล้านช้างตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทย  สิมของวัดวิชุนเมื่อแรกสร้างด้วยไม้แบบไทลื้อ ต่อมาพระเจ้าสักรินทร์โปรดให้รื้อออกและสร้างใหม่เป็นอิฐถือปูนโดยคงรูปแบบเดิมไว้ ในปัจจุบันมีการต่อมุขด้านหน้าออกมา  บานประตูสิมแกะสลักเป็นพระศิวะ พระอินทร์ พระพรหมและพระวิษณุตามแบบสกุลช่างเชียงขวาง ได้รับอิทธิพลจากขอมมาพอสมควร  ของสำคัญอีกชิ้นหนึ่งในสิมคือ ปราสาทจำลองแบบเชียงแสน  ด้านหน้าวัดมีเจดีย์ธาตุทรงแตงโมคว่ำผ่าครึ่ง จึงมีชื่อเรียกพระธาตุหมากโม  เป็นพระธาตุเก่าแก่เล่าสืบต่อกันมาว่าผู้สร้างเป็นมเหสีของพระเจ้าวิชุนราช  สร้างขึ้นราวปี 2057 ภายในพระธาตุบรรจุของมีค่ามากมาย  ทางด้านทิศเหนือของวัดวิชุนเป็นวัดอาฮาม  วัดอาฮามเป็นที่เก็บปู่เยอ-ย่าเยอ เทวดาอารักษ์เมือง  ระหว่างวัดมีโขงประตูยอดดอกบัว  เป็นโขงประตูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบาง  โขงประตูอื่นของวัดวิชุนเป็นโขงประตูที่รื้อออกสร้างใหม่เหลือเพียงด้านนี้ด้านเดียวที่ยังเป็นของดั้งเดิม 

สมุนไพร ปลาตากแห้ง ถั่วเน่าและหนังวัว  วัตถุดิบอาหารที่ตลาดอินทสม
หมากที่เจียนไว้สวยงาม
เด็กชายนั่งเด็ดพริก ตลาดเช้าอินทสม




         
       
พระธาตุหมากโม  วัดวิชุน

ลายตะวันที่หน้าฐานชุกชี ภายในวัดวิชุน

พิพิธภัณฑ์วัดวิชุน


ออกจากวัดวิชุนเขาพาผมไปบ้านช่างค้อง  เป็นหมู่บ้านหัตถกรรมผ้าทอมือ และผลิตภัณฑ์จากกระดาษสา  เขาแวะที่นี่นานมากไปหน่อย  ในหมู่บ้านนั้นมีทั้งบ้านเดิมและบ้านที่ปลูกใหม่ปะปนกัน  ผมเดินไปมาหลายรอบ ในที่สุดก็ได้ภาพเขียนลายเส้นเมืองหลวงพระบางและภาพกวางเป็นลายโบราณกลับมาพร้อมกับย่ามทอหนึ่งใบ เขาห่อให้อย่างดีในกลักกระดาษสา  ออกจากหมู่บ้านหัตถกรรม  รถพาเราออกจากเมืองไปตามทางหลวงเลียบเขาไปเรื่อยๆ  ในที่สุดก็มาถึงอุทยานน้ำตกกวางสี  ด้านนอกเต็มไปด้วยร้านค้า แผงขายของที่ระลึกไม่ต่างจากน้ำตกในเมืองไทย  จากหน้าประตูใหญ่ทางเข้าเป็นถนนลาดยางอย่างดี แต่ไม่ให้รถเข้า  เข้าไปเป็นทางขึ้นเนิน  พอไปสักหน่อยจะมีทางแยกถนนดินกว้างสักไม่เกินสองเมตร  ผ่านสวนสัตว์ที่เขาอนุรักษ์หมี  เดินผ่านป่าร่มครึ้มเข้าไปสัก1.4 กม.เราจะเริ่มพบกับธารน้ำเล็กๆไหลข้างทาง  อากาศร่มรื่น  เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นสภาพธารน้ำไหลคดเคี้ยวลดหลั่นกันลงมาแตกเป็นหลายสาย เขาทำสะพานให้ข้าม  ลักษณะการเดินค่อยๆไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และพบแอ่งน้ำขนาดใหญ่หลายแอ่ง  มีน้ำตกเล็กๆไม่สูงนัก 3 ชั้น  เมื่อผ่านร้านค้า ร้านอาหารจะพบกับน้ำตกตาดกวางสี  ท้องน้ำสีฟ้าอมเขียว  น้ำตกชั้นบนนี้สูงถึง 60 เมตร  น้ำไม่มากนักเนื่องจากเป็นฤดูแล้ง  เที่ยวเดินเล่นถ่ายรูปจนพอใจจึงได้กลับลงมา  เขานัดทานข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่างและปลาเผากันที่ด้านหน้าอุทยาน  อาหารแซ่บหลายอยู่
ผ้าทอแสดงชีวิตผู้คนชาวหลวงพระบาง

ตาดกวางสีชั้นบนสุด


เรานั่งรถกลับเข้าเมืองหลวงพระบางเกือบ 30 กม.  คราวนี้เขานำเรามาส่งที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ  ด้านหน้ามีหอพระบางที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์   หอพระสร้างแบบหลวงพระบาง  อยู่บนยกพื้นสูงต้องขึ้นบันไดไปยี่สิบกว่าขั้น  เขาปิดประตูเหล็กโปร่งไม่ให้เข้าไปข้างใน  และห้ามถ่ายรูป  พระบางไม่ใช่ของลาว  แต่อัญเชิญมาจากเมืองพระนครเสียมราฐ  เป็นพระยืนปางประทานอภัย  ยกมือสองข้างขึ้นเสมอพระอุระ  ขนาดสูงประมาณ 1.2 ม. เป็นศิลปะบายนราวพุทธศตวรรษที่ 17-18   พระเจ้าวิชุนราชให้อัญเชิญพระบางจากเวียงคำ ไปไว้ที่เวียงเชียงทอง(ชื่อเดิมของหลวงพระบาง) และ ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโปรดให้เชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่มาไว้ที่วัดวิชุน  อยู่ได้ไม่นานก็ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ที่เวียงจันทน์  เล่ากันว่าเทพอารักษ์พระทั้งสององค์ไม่ถูกกัน และชักศึกเข้าบ้านนำความยุ่งยากมาให้  ต่อมามีการอัญเชิญพระบางลงมาที่เวียงจันทน์เพราะหนีศึกเมืองหลวงพระบาง จวบจนสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกตีได้เวียงจันทน์จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาไว้ที่กรุงธนบุรี  เมื่อปราบดาภิเษกเป็นปฐมกัตริย์แล้ว รัชกาลที่ 1 โปรดให้ประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นพระประธานในอุโบสถ  ส่วนพระบางนั้นให้คืนไปเวียงจันทน์ตามคำแนะนำของพระเจ้านันทเสนว่ามีเหตุเพทภัย  โดยยกตัวอย่างเชียงใหม่ที่เสียให้แก่พม่า และนครเวียงจันทน์เสียให้แก่ไทยว่ามีสาเหตุจากพระสององค์อยู่ด้วยกัน  ในศึกเจ้าอนุวงศ์สมัยรัชกาลที่ 3 ไทยตีได้เวียงจันทร์ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพไทยให้อัญเชิญพระบางกลับกรุงเทพฯ  รัชกาลที่ 3 โปรดให้แก้เคล็ดด้วยการอัญเชิญพระบางไปไว้นอกเกาะเมืองกรุงเทพฯ คือไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส  ไทยเพิ่งจะคืนพระบางให้แก่ลาวเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มานี้เอง
 
พระราชวังหลวงจากยอดพูสี


หอพระบางยามโพล้เพล้
  
จากหอพระบางเดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์  สองข้างทางเป็นต้นตาลสูง  พิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2447  เพื่อใช้เป็นพระราชวังหลวงของพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา  เป็นอาคารทรงโคโลเนียลแบบฝรั่งเศส ต่อมาแก้ให้เป็นยอดมณฑป เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสุง  แผนผังของอาคารเป็นรูปกากบาท ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2518 พระราชวังแห่งนี้ปรับเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์  ภายในประกอบด้วยท้องพระโรง  ห้องรับแขก  ทั้งสองห้องนี้ประดับกระจกสวยงามเป็นภาพชีวิตผู้คน งานประเพณี แสดงออกถึงวัฒนธรรมของลาว สวยงามมาก  น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป  นอกจากนี้ยังมีห้องบรรทม ห้องฟังธรรม  แต่ละส่วนจัดแสดงข้าวของเครื่องไช้ และพระรูปของเจ้ามหาชีวิตและพระราชวงศ์  เดินดูจนทั่วแล้ว เห็นคนอื่นยังไม่ออกกันมา  ผมเดินลงไปชั้นพื้น  เขากั้นใต้ถุนอาคารไว้เป็นห้องๆ  ส่วนใหญ่ปิดไว้  มีส่วนหนึ่งเป็นแกลเลอรีโชว์งานศิลปะ  ส่วนนี้ยอมให้ถ่ายภาพได้  หลังจากจบพิพิธภัณฑ์  เขาปล่อยให้พวกเราเป็นอิสระ  แต่นัดกันว่าหกโมงเย็นเราไปพบกันที่ร้านบุฟเฟต์ซอยข้างวัดใหม่สุวรรณภูมา  ผมดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง  ผมพอมีเวลา ตั้งใจว่าจะกลับไปวัดเชียงทองอีกครั้ง เมื่อวานนักท่องเที่ยวแน่นขนัดจนผมถ่ายรูปไม่ได้  เมื่อกางแผนที่ออกดูยังมีวัดในเส้นทางที่ผมสนใจอีก 3-4 แห่ง ได้แก่ วัดป่าแค วัดป่าฝาง วัดจูมค้อง วัดเชียงม่วน และวัดป่าไผ่ ทั้งหมดอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ 
ตุ๊กตาอับเฉาหน้าสิม วัดจูมค้อง

สิมแบบเชียงขวาง หลังคาเทิบซ้อน วัดเชียงม่วน

ลายคำภายในสิมวัดป่าไผ่เป็นภาพสวรรค์และนรกภูมิ

ประตูยอดมณฑป สิมวัดป่าไผ่  จิตรกรรมท้องถิ่นเป็นภาพพุทธประวัติ

วัดป่าฝาง  เชิงดอยพูสี  ศิลปะหลวงพระบาง มีหลังคาลาดต่ำอ้อนช้อยงดงาม
เสี้ยวกางประตูวัดป่าแครับอิทธิพลตะวันตกเต็มที่

ออกจากพิพิธภัณฑ์ ผมข้ามถนนไปด้านพูสีเพื่อชมวัดศรีพุทธบาท วัดพระพุทธบาทนี้เกิดจากการรวมวัดเก่าแก่สองวัดเข้าด้วยกันคือ วัดป่าแคและวัดป่าฝาง  วัดป่าแคสร้างในปีพ.ศ. 2396  มาบูรณะใหม่เมื่อปี 2510 แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดศรีพุทธบาท การบุณณะใหม่ทำให้สิมของวัดเปลี่ยนเป็นทรงเวียงจันทน์  จุดเด่นของวัดคือบานประตูสิมสลักลายเทวดาเฝ้าประตูเป็นรูปฝรั่ง  น่าจะเป็นอิทธิพลความนิยมของยุครัชกาลที่ 4 ซึ่งนิยมสถาปัตยกรรมแบบวิลันดา และใช้ช่างไทยมาร่วมออกแบบ  อีกวัดหนึ่งที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปเป็นวัดป่าฝางเนื่องจากปลูกในดงต้นฝาง  เป็นวัดที่คหบดีท่านหนึ่งสร้างขึ้นไล่เลี่ยกับวัดป่าแค  ลักษณะสิมอ่อนช้อยงดงามด้วยหลังคาลาดแบบหลวงพระบางและผสมผสานกับการซ้อนเทิบแบบเชียงขวาง  ตำแหน่งของวัดป่าฝางอยู่บนเขาสูงติดแม่น้ำ จึงมองเห็นวิวแม่น้ำคานได้ชัดเจน  ออกจากพูสีผมตรงเข้าถนนศรีสว่างวัฒนา  ที่นี่เป็นที่ตั้งที่วัดป่าไผ่วิไชยาราม  วัดนี้สิมขนาดกลางทรงหลวงพระบาง  แต่เป็นหลวงพระบางที่หลังคาไม่ลาด  มีอายุสองร้อยกว่าปี  ดังนั้นจึงมีการบูรณะใหม่จนผิดแปลกไปจากเดิม  เล่ากันว่าแบบเดิมหลังคาเป็นเทิบเดียวยาวลาดต่ำ  เมื่อซ่อมแซมใหม่มีการตัดออกแล้วทำเป็นหลังคาปีกนกแทนเพราะนิยมอย่างนั้นกันในยุคหลัง  การตกแต่งสิมวัดป่าไผ่ทำกันเต็มที่  ด้านหน้าทำเป็นโถง  ประตูทางเข้ามีสามบาน  เขาปั้นปูนประดับเป็นรูปโขง  ฝาผนังด้านนอกเขียนเป็นจิตรกรรม  ภายในเขียนลายคำบนพื้นดำ  เขียนเป็นรูปเทวดาบนพื้นดำ  ลักษณะการเขียนทำให้ผมนึกถึงวัดเชียงมั่นที่เชียงใหม่ทันทีเพราะเป็นงานลักษณะเดียวกัน   ออกจากวัดป่าไผ่ผมมุ่งหน้าแม่น้ำโขงเดินออกมาจนถึงหัวมุมถนนขุนชวา  วัดเชียงม่วนวชิรมังคลารามอยู่ตรงหัวมุมตรงนี้พอดี  สิมวัดเชียงม่วนเป็นสิมขนาดเล็กสร้างแบบเชียงขวางหลังคาห้อยต่ำ  มีอายุร้อยกว่าปี แต่ผมดูแล้วเหมือนเพิ่งบูรณะใหม่  ส่วนหน้าเป็นโถงก่อนเข้าไปข้างใน  ผนังด้านหน้าเขียนเป็นจิตรกรรมด้วยฝีมือจิตรกรพื้นบ้านไว้เต็มผนัง  เครื่องตกแต่งด้านนอกผสมผสานหลายแบบเข้าด้วยกัน  หน้าบันเป็นลายเจาะอยู่ในช่องรูปไข่แสดงถึงอิทธิพลตะวันตก  เขาไม่ได้เปิดให้เข้า ผมเลยไม่ได้ชมจิตรกรรมเรื่องพระเจ้าอาชาติศัตรู  กล่าวกันว่าวัดนี้เดิมชื่อวัดเสียงม่วน เนื่องจากฆ้องกลองของวัดนี้มีเสียงไพเราะ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเชียงม่วน   รั้วถัดไปไม่ไกลจากวัดเชียงม่วนเป็นวัดจูมค้องสุรินทราราม สร้างในยุคใกล้เคียงกับวัดเชียงม่วน  สิมของวัดนี้เป็นทรงหลวงพระบาง  เป็นสิมขนาดไม่ใหญ่  หน้าสิมมีตุ๊กตาหินประดับ  เหมือนตุ๊กตาอับเฉาขนาดเล็กๆ  บ้างก็ว่าเป็นของพระราชทานจากจักรพรรดิจีนแด่พระเจ้าจันทราช  ดูแล้วไม่ยิ่งใหญ่เหมือนที่วัดโพธิ์    ผมออกจากวัดจูมค้อง  เดินย้อนกลับไปตามถนนขุนชวามุ่งหน้าวัดเชียงทอง  สองข้างทางเป็นอาคารพาณิชย์แบบเก่าสลับกับบ้านเรือน  ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงให้เป็นโรงแรม โฮมสเตย์ และร้านอาหาร  สวยงามน่าพักเพราะเป็นย่านที่เงียบสงบและทำแล้วมีรสนิยม  แต่มันไร้จิตวิญยาณของหลวงพระบาง  มันขาดสีสันของชีวิตผู้คนที่นี่  ผมเดินไปจนสุดถนนก็พบกับประตูทางเข้าวัดเชียงทองด้านทิศใต้  หนึ่งชั่วโมงเศษๆนับจากนี้ก่อนประตูปิดผมมีเวลาดื่มด่ำเต็มที่กับศิลปะและรายละเอียดต่างๆภายในวัดเชียงทอง  ในยามนี้ไร้นักท่องเที่ยว เขาไปที่อื่นกันหมดแล้ว  ผมมีเวลาพินิจพิเคราะห์ทุกอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าไม่มีใครมาบังหน้ากล้องผมเพื่อบันทึกภาพอีก  ผมนึกออกว่ามาหลวงพระบางสองสามวันนี้ผมไม่มีรูปของตัวเอง  รูปที่มีจะเห็นแต่เสื้อแจ๊คเกตสีดำสวมทับกับกางเกงยีนส์  ผมซื้อเสื้อใหม่มาเที่ยวคราวนี้ 3 ตัว  จัดแจงถอดเสื้อตัวนอกออกหันซ้ายขวาไม่รู้จะเรียกใครถ่ายรูปให้ดีเพราะไม่มีคน  ขาตั้งกล้องก็ไม่มี  เลยเอากล้องวางไว้บนยกพื้นขอบปูนตั้งเวลาบันทึกเอา  ถ่ายมาหลายใบกว่าจะได้มุมที่พอใจ  ผมถ่ายภาพจนแสงหมดและเขาปิดประตูจึงได้ออกเดินไปที่จุดนัดหมาย
อาคารพาณิชย์แบบลาวดั้งเดิมบนถนนขุนชวา

โรงเรียนประถมบ้านแสน

ร้านวัตถุโบราณแถบบ้านเจ๊ก

บุเฟต์แบบหลวงพระบาง
จุดนัดหมายอยู่ซอยข้างวัดใหม่   เป็นซอยเล็กๆกว้างสัก 3 เมตรเศษ  ตลอดทั้งซอยเปิดไฟหลอดสว่างไสว ฟากหนึ่งเป็นแผงอาหารขนาดใหญ่  มีอาหารอยู่ในถาดหลายสิบชนิด อีกฟากหนึ่งเป็นโต๊ะไม้เรียงไปเป็นแถว  เขาเอาด้านขวางชิดกำแพง  อีกสองด้านตามยาววางเก้าอี้ยาวไม่มีพนัก  ไม่มีการจองโต๊ะแบบโต๊ะใครโต๊ะมัน  ทุกคนที่ไปตักอาหารมาว่างตรงไหนนั่งตรงนั้น เพราะนี่คือบุฟเฟต์แบบลาวและแบบชาวบ้าน  หนึ่งอิ่มราคา 20,000 กีบ ส่วนน้ำดื่มเช่นเบียร์ น้ำอัดลมคิดราคาต่างหาก  ทานทิ้งขว้างเขาปรับเงิน   ได้ทานของแปลกๆ  แปลกจนผมอธิบายไม่ถูก  เป็นคลุก เป็นยำ เป็นทอด แต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร เพราะรสชาติมันกลางมากๆ 


เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันกลับบ้าน  ความตื่นเต้นต่างๆมันหมดไปเช่นเดียวกับอารมณ์ที่จะเล่าเรื่อง จึงขอรวบรัดตัดความว่า  เราออกไปทานข้าวเช้ากันที่ร้านข้าวปุ้นหน้าปากซอย  หลังจากกลับมาเก็บของเสร็จเรียบร้อยมีเวลาเหลือ ผมออกไปเดินดูที่พักฝั่งตรงข้าม ซึ่งเขาใจดีให้ผมเข้าไปเดินเล่น  เมื่อได้เวลาทั้งหมดจึงได้ขึ้นรถมุ่งหน้ากลับเวียงจันทน์  เราเห็นทะเลหมอกที่ไหนก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อย  พบเห็นเด็กม้งก็แวะแจกขนมเด็ก  มาพักทานอาหารมื้อเที่ยงที่แยกภูคูน หลับๆตื่นๆแวะตามจุดพักรถเดิมๆ ตรงกลับเข้าเวียงจันทน์เพื่อให้ทันก่อนด่านปิดสี่โมงเย็น  มาวงแตกตรงจุดผ่านด่านแยกย้ายกันไปถลุงทรัพย์ตามอัฐภาพ  ร้านปลอดภาษีที่ด่านมีขนาดใหญ่พอสมควร ผมได้น้ำหอมเป็นของฝากคนที่บ้าน  รถกลับมาส่งเราที่ขนส่งจังหวัดหนองคาย   ด้วยเวลาที่จวนเจียน กอปรกับไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวซึ่งผมไม่แน่ใจนักทำให้เราหาร้านอาหารไม่ได้  ผมอยากทานส้มตำเป็นกำลังเลยจำใจทานข้าวกันที่ร้านแถวขนส่ง  เมื่อขึ้นรถได้เราก็หลับกันยาวไม่รู้ความจนถึงกรุงเทพฯในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นและกล่าวคำอำลาจากเพื่อนร่วมคณะและกล่าวทักทายสวัสดีกรุงเทพฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น