วันศุกร์, เมษายน 10, 2563

กางเขน


เมื่อถึงวันศุกร์ประเสริฐ ชาวโปรแตสแตนท์มักระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในภาพการทนทุกข์ การโบยตี การข่มเหง เพื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก และสุดท้ายพระองค์ถูกตรึงที่กางเขน  กางเขนเปรียบเสมือนตราบาปที่ทรงแบกรับไว้ กางเขนเป็นภาพแห่งความเศร้าโศก และถ่ายทอดมาประดับไว้เหนือหลุมฝังศพเพื่อแสดงว่าพระเยซูเป็นเจ้าของชีวิตใต้ดินนี้ น้อยคนนักที่เข้าไปในสุสานเห็นกางเขนเรียงรายแล้วจะรู้สึกร่าเริงยินดี
แต่กางเขนของชาวออร์ธอดอกซ์ตะวันออกนี้ต่างออกไปจากกางเขนของโรมันคาทอลิค ทั้งรูปทรงและความหมาย  ประกอบด้วยกางเขนเรียงกัน 3 ชั้น  ซึ่งกางเขนของออร์ธอดอกซ์เกือบทั้งหมดยึดตามความหมายของสัญญลักษณ์ต่อไปนี้
1) ไม่ใช่ศพที่แขวนห้อยบนกางเขนอย่างน่าทุเรศ แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในสภาพที่ดี  ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต  ทรงฟื้นคืนพระชนม์ เต็มไปด้วยประกายของความหวังในการมีชีวิต   อาการกางแขนออกเป็นการวาดมือเปิดออก ซึ่งต่างจากมือที่ถูกตรึงและทิ้งน้ำหนัก  การวาดมือออกด้านข้างแสดงถึงการทูลขอต่อพระบิดาด้วยความถ่อมใจ  อันเป็นสัญญลักษณ์ของพระผู้ไถ่ที่สงบนิ่ง เต็มไปด้วยความอ่อนสุภาพ  ซึ่งความถ่อมใจและความอ่อนสุภาพนี้เป็นคุณลักษณะของผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์ 
2) จัดท่ายืนของพระองค์ให้อยู่บนชั้นพักบนกางเขน เป็นสัญญลักษณ์ของการทนทุกข์ด้วยความเต็มใจ ไม่หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ  เป็นนายของการมีชีวิตและนายของมัจจุราช  พระคัมภีร์อธิบายว่าทรงถือกุญแจแห่งแดนมรณาไว้ (วิวรณ์ 1:18) สีพระพักตร์ของพระองค์สงบราบเรียบ และอวัยวะตลอดร่างก็ผ่อนคลาย
3) ตอนบนของกางเขนมีผ้าซับหน้าผืนหนึ่ง   ตำนานเล่าว่ากษัตริย์อะกาบัสแห่งซีเรีย ได้รับฟังเรื่องราวและราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็บังเกิดความศรัทธาอยากเห็นพระองค์สักครั้ง  จึงได้ส่งช่างไปวาดพระพักตร์  ครั้งแล้วครั้งเล่าก็วาดไม่สำเร็จ ช่างจึงได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับพระพักตร์ของพระองค์  พระพักตร์ของพระองค์ปรากฏเป็นรอยภาพ เมื่อกัตริย์อะกาบัสทอดพระเนตรและสัมผัสผ้าผืนนั้น  โรคเรื้อนที่พระองค์ประชวรอยู่ก็หายไปอย่างอัศจรรย์  ผ้าซับพระพักตร์บนกางเขนนี้เขียนไว้เพื่อเตือนใจคริสตชนว่า พระเป็นเจ้าได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ (มีรอยซับจากเนื้อหนัง)และทรงฤทธานุภาพ
4) ต่ำลงมาจากผ้าซับพระพักตร์เป็นทูตสวรรค์สององค์ ถือเครื่องทัณฑ์ทรมาน ดังปรากฏในพระคัมภีร์ว่า  ทหารใช้หอกแทงที่สีข้างของพระเยซูเพื่อดูให้แน่ใจว่าพระองค์ตายจริงหรือไม่  ทหารใช้ก้านไม้หุสบปลายพันฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งขึ้นไปให้พระเยซูดูดเมื่อพระองค์ร้องกระหายน้ำ  มีมงกุฏหนาม และในมือของทูตสวรรค์ถือตะปูตอกมือและเท้ารวม 4 ตัว     การให้ทูตสวรรค์อัญเชิญเครื่องทัณฑ์ทรมานนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความต้องการของพระเจ้าพระบิดาที่จะให้พระเยซูรับหน้าที่ไถ่บาป  เสมือนจอกยาพิษที่พระองค์รู้ว่าถ้าดื่มพระองค์ต้องตายนั่นเอง
5) บนไม้กางเขนนั้น ปีลาต ผู้สำเร็จราชการชาวโรมันให้เขียนข้อความ เยซู ชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของชาวยิว ย่อว่า INRI (Iesus Nazareth Rigas Iews ซึ่งเขียนแบบกรีก (พระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้เป็นภาษากรีก)  แปลว่า Jesus Nazareth King of Jews  แต่กางเขนออร์ธอดอกซ์ใช้ King of glory เพื่อเน้นว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริที่เสด็จมาดังปรากฏในพระธรรมสดุดีบทที่ 24 และใช้อักษร ICXC แทนซึ่งเป็นคำย่อของ Jesus Christ คือเยซูพระผู้ช่วย
6) ที่ปลายกางเขนทั้งสองฝั่ง ฝั่งขวามือของพระคริสต์เป็นดวงตะวัน และปลายซ้ายมือของพระองค์คือดวงจันทรา   ดวงตะวันนั้นเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนว่า ในเวลาใกล้สิ้นพระชนม์นั้นเกิดเมฆหนาปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงตะวัน  ความมืดนั้นปกคลุมแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงจนบ่ายสามโมง (ลูกา 23:44-45)  ในความมืดมิดที่ปกคลุมพระพักตร์นั้น มีแต่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เฝ้าอยู่ที่ปลายฟ้าทั้งสองฟาก
7) ตำแหน่งใกล้พระบาทของพระเยซู เป็นภาพนางมารีย์และยอห์น   ด้วยในขณะที่ตรึงกางเขน มีเพียงมารีย์มารดาของพระเยซู และยอห์นอัครสาวกคนสนิทเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ  สาวกอื่นอีก 10 คนต่างหนีเพราะเกรงอาญาโรมัน  ปรากฏแนวกำแพงกรุงเยรูซาเล็มอยู่ด้านหลังภาพนางมารีย์และยอห์น เพราะพระองค์หลั่งโลหิตชำระความบาปจนสิ้นพระชนม์อยู่นอกกำแพงเมือง ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมฮีบรู บทที่ 13 ข้อ 12
8) กางเขนนั้นปักอยู่บนหินภูเขา ภูเขานี้ชื่อหัวกระโหลก กระโหลกและกระดูกของอาดัม มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายาของพระองค์  โนอาห์นำมาฝังไว้ที่ภูเขานี้   ในเวลาที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้นเกิดแผ่นดินไหวและหินแยกออก โลหิตของพระองค์ไหลจากกางเขนอาบกระดูกของอาดัม เป็นสัญญลักษณ์ว่าโลหิตของพระองค์ชำระบาปแห่งการไม่เชื่อฟังซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษมนุษย์  รอยแยกนั้นยังปรากฏให้เห็นถึงปัจจุบัน อยู่ในโบสถ์โฮลี่เซปูลเชร์ซึ่งสร้างคร่อมสถานที่นี้ไว้
กางเขนจึงไม่ใช่เรื่องอับอาย พ่ายแพ้ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี แต่เครื่องแสดงเป้าประสงค์ที่พระเยซูเข้ามาในโลก พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์ ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ (1 ทิโมธี 3:16) และวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกเพื่อรับคริสตชนที่ล่วงหลับไปอยู่กับพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น