เมื่อถึงวันศุกร์ประเสริฐ ชาวโปรแตสแตนท์มักระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในภาพการทนทุกข์
การโบยตี การข่มเหง เพื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก
และสุดท้ายพระองค์ถูกตรึงที่กางเขน
กางเขนเปรียบเสมือนตราบาปที่ทรงแบกรับไว้ กางเขนเป็นภาพแห่งความเศร้าโศก
และถ่ายทอดมาประดับไว้เหนือหลุมฝังศพเพื่อแสดงว่าพระเยซูเป็นเจ้าของชีวิตใต้ดินนี้
น้อยคนนักที่เข้าไปในสุสานเห็นกางเขนเรียงรายแล้วจะรู้สึกร่าเริงยินดี
แต่กางเขนของชาวออร์ธอดอกซ์ตะวันออกนี้ต่างออกไปจากกางเขนของโรมันคาทอลิค
ทั้งรูปทรงและความหมาย ประกอบด้วยกางเขนเรียงกัน
3 ชั้น ซึ่งกางเขนของออร์ธอดอกซ์เกือบทั้งหมดยึดตามความหมายของสัญญลักษณ์ต่อไปนี้
1) ไม่ใช่ศพที่แขวนห้อยบนกางเขนอย่างน่าทุเรศ
แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในสภาพที่ดี ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต
ทรงฟื้นคืนพระชนม์ เต็มไปด้วยประกายของความหวังในการมีชีวิต
อาการกางแขนออกเป็นการวาดมือเปิดออก
ซึ่งต่างจากมือที่ถูกตรึงและทิ้งน้ำหนัก
การวาดมือออกด้านข้างแสดงถึงการทูลขอต่อพระบิดาด้วยความถ่อมใจ อันเป็นสัญญลักษณ์ของพระผู้ไถ่ที่สงบนิ่ง
เต็มไปด้วยความอ่อนสุภาพ ซึ่งความถ่อมใจและความอ่อนสุภาพนี้เป็นคุณลักษณะของผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์
2) จัดท่ายืนของพระองค์ให้อยู่บนชั้นพักบนกางเขน
เป็นสัญญลักษณ์ของการทนทุกข์ด้วยความเต็มใจ ไม่หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ เป็นนายของการมีชีวิตและนายของมัจจุราช พระคัมภีร์อธิบายว่าทรงถือกุญแจแห่งแดนมรณาไว้ (วิวรณ์
1:18) สีพระพักตร์ของพระองค์สงบราบเรียบ
และอวัยวะตลอดร่างก็ผ่อนคลาย
3) ตอนบนของกางเขนมีผ้าซับหน้าผืนหนึ่ง ตำนานเล่าว่ากษัตริย์อะกาบัสแห่งซีเรีย
ได้รับฟังเรื่องราวและราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็บังเกิดความศรัทธาอยากเห็นพระองค์สักครั้ง จึงได้ส่งช่างไปวาดพระพักตร์ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็วาดไม่สำเร็จ ช่างจึงได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับพระพักตร์ของพระองค์
พระพักตร์ของพระองค์ปรากฏเป็นรอยภาพ เมื่อกัตริย์อะกาบัสทอดพระเนตรและสัมผัสผ้าผืนนั้น โรคเรื้อนที่พระองค์ประชวรอยู่ก็หายไปอย่างอัศจรรย์ ผ้าซับพระพักตร์บนกางเขนนี้เขียนไว้เพื่อเตือนใจคริสตชนว่า
พระเป็นเจ้าได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ (มีรอยซับจากเนื้อหนัง)และทรงฤทธานุภาพ
4) ต่ำลงมาจากผ้าซับพระพักตร์เป็นทูตสวรรค์สององค์
ถือเครื่องทัณฑ์ทรมาน ดังปรากฏในพระคัมภีร์ว่า
ทหารใช้หอกแทงที่สีข้างของพระเยซูเพื่อดูให้แน่ใจว่าพระองค์ตายจริงหรือไม่ ทหารใช้ก้านไม้หุสบปลายพันฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งขึ้นไปให้พระเยซูดูดเมื่อพระองค์ร้องกระหายน้ำ
มีมงกุฏหนาม และในมือของทูตสวรรค์ถือตะปูตอกมือและเท้ารวม
4 ตัว การให้ทูตสวรรค์อัญเชิญเครื่องทัณฑ์ทรมานนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความต้องการของพระเจ้าพระบิดาที่จะให้พระเยซูรับหน้าที่ไถ่บาป เสมือนจอกยาพิษที่พระองค์รู้ว่าถ้าดื่มพระองค์ต้องตายนั่นเอง
5) บนไม้กางเขนนั้น ปีลาต ผู้สำเร็จราชการชาวโรมันให้เขียนข้อความ
เยซู ชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของชาวยิว ย่อว่า INRI (Iesus Nazareth Rigas
Iews ซึ่งเขียนแบบกรีก (พระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้เป็นภาษากรีก) แปลว่า Jesus Nazareth King of Jews แต่กางเขนออร์ธอดอกซ์ใช้ King
of glory เพื่อเน้นว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริที่เสด็จมาดังปรากฏในพระธรรมสดุดีบทที่
24 และใช้อักษร ICXC แทนซึ่งเป็นคำย่อของ Jesus
Christ คือเยซูพระผู้ช่วย
6) ที่ปลายกางเขนทั้งสองฝั่ง
ฝั่งขวามือของพระคริสต์เป็นดวงตะวัน และปลายซ้ายมือของพระองค์คือดวงจันทรา ดวงตะวันนั้นเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนว่า
ในเวลาใกล้สิ้นพระชนม์นั้นเกิดเมฆหนาปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงตะวัน ความมืดนั้นปกคลุมแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงจนบ่ายสามโมง
(ลูกา 23:44-45) ในความมืดมิดที่ปกคลุมพระพักตร์นั้น
มีแต่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เฝ้าอยู่ที่ปลายฟ้าทั้งสองฟาก
7) ตำแหน่งใกล้พระบาทของพระเยซู
เป็นภาพนางมารีย์และยอห์น ด้วยในขณะที่ตรึงกางเขน
มีเพียงมารีย์มารดาของพระเยซู และยอห์นอัครสาวกคนสนิทเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ สาวกอื่นอีก 10 คนต่างหนีเพราะเกรงอาญาโรมัน ปรากฏแนวกำแพงกรุงเยรูซาเล็มอยู่ด้านหลังภาพนางมารีย์และยอห์น
เพราะพระองค์หลั่งโลหิตชำระความบาปจนสิ้นพระชนม์อยู่นอกกำแพงเมือง ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมฮีบรู
บทที่ 13 ข้อ 12
8) กางเขนนั้นปักอยู่บนหินภูเขา
ภูเขานี้ชื่อหัวกระโหลก กระโหลกและกระดูกของอาดัม มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายาของพระองค์
โนอาห์นำมาฝังไว้ที่ภูเขานี้ ในเวลาที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้นเกิดแผ่นดินไหวและหินแยกออก
โลหิตของพระองค์ไหลจากกางเขนอาบกระดูกของอาดัม
เป็นสัญญลักษณ์ว่าโลหิตของพระองค์ชำระบาปแห่งการไม่เชื่อฟังซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษมนุษย์ รอยแยกนั้นยังปรากฏให้เห็นถึงปัจจุบัน อยู่ในโบสถ์โฮลี่เซปูลเชร์ซึ่งสร้างคร่อมสถานที่นี้ไว้
กางเขนจึงไม่ใช่เรื่องอับอาย
พ่ายแพ้ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี แต่เครื่องแสดงเป้าประสงค์ที่พระเยซูเข้ามาในโลก
พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์ ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ
ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ (1 ทิโมธี
3:16) และวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกเพื่อรับคริสตชนที่ล่วงหลับไปอยู่กับพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น