เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อนส่งคลิปอันหนึ่งมาให้ เป็นคลิปที่แพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรสายแพทย์แสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้วัคซีนโควิดในคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัคซีนเทคโนโลยีสมัยใหม่ สิ่งที่เขากังวลกันก็คือ รวบรัดจนมีเวลาศึกษาเรื่องความปลอดภัยน้อยมาก มีโอกาสแพ้จนถึงแก่ชีวิต เป็นวัคซีน GMO โดยมีการดัดแปลงพันธุกรรมในการทำผลิตเชื้อวัคซีน มีโอกาสเป็นหมันในสตรี ผมก็เดาไม่ถูกว่าในคลิปเป็นแพทย์จริงหรือแค่คลิปที่จงทำขึ้นด้วยจุดประสงค์อื่น ถ้าอย่างนั้นมาลองดูว่าประเด็นต่างๆที่เขายกกันขึ้นมามีที่มาอย่างไร
ภาพจากเวปหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ตีพิมพ์เมื่อ 17 สิงหาคม 2563 |
วัคซีนคืออะไร
วัคซีนคือเชื้อโรคหรือส่วนประกอบของเชื้อโรคที่มักเป็นโปรตีน ใช้ฉีดเข้าไปในร่างกายคนหรือสัตว์ เขามักฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อบริเวณที่ไม่ห่างจากศูนย์รวมต่อมน้ำเหลืองนัก เช่นฉีดที่ต้นแขนเพราะอยู่ใกล้ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ ฉีดแถวหน้าท้องเพราะมีเนื้อเยื่อไขมันและใกล้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ เป็นต้น สิ่งแปลกปลอมนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะส่งโปรตีนภูมิคุ้มกันที่เรารู้จักกันว่าอิมมูโนโกลบูลินมาทำลาย ในขณะเดียวกันก็เกิดการกระตุ้นเซลเม็ดเลือดขาวให้มาจับกิน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆเข้ามาเสริมทำงานกันอย่างเป็นระบบ แต่ถ้าเชื้อโรคชนิดนั้นไม่เคยรุกรานเรามาก่อน ระบบภูมิคุ้มกันจะทำความรู้จัก มีการกระตุ้นเซลที่ม้ามเพื่อให้จดจำส่วนของเชื้อโรคและสร้างเป็นภูมิออกมา มีการกระตุ้นการสร้างเซลเม็ดเลือดขาวให้จับเชื้อโรคกินและสร้างโปรตีนชนิดต่างๆออกมาส่งสัญญาณไปทั้งระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัวทำงานทั้งร่างกาย เมื่อนั้นร่างกายเราจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคชนิดนั้นๆ หากมีเชื้อชนิดนั้นมารุกรานในภายหลัง ทหารยามที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจะถูกปลุกขึ้นมาเข้าเวรทำงานได้ทันที เราจึงไม่แสดงอาการป่วย การฉีดวัคซีนคือการเอาเชื้อเข้าไปในร่างกายเพื่อให้ร่างกายจดจำและสร้างภูมิขึ้นมา เหมือนทหารเข้าประจำการพร้อมตั้งรับข้าศึกที่จะบุกเข้ามาวันใดวันหนึ่ง
เขาเอาอะไรมาทำวัคซีน
วัคซีนในศตวรรษที่ 21 ต่างจากวัคซีนสมัยก่อนอย่างมากมาย ก่อนนี้เขาเลี้ยงเชื้อโรคแล้วทำให้มันสิ้นฤทธิ์
มีทั้งเอาแค่หมดฤทธิ์ และมีทั้งที่ทำมันให้ตายไปเลย บางทีก็คัดสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่กลายพันธุ์จากเชื้อก่อโรครุนแรงกลายเป็นเชื้อที่หมดแรง สิ้นฤทธิ์ยังหมายถึงทำให้มันเจริญพันธ์เพิ่มจำนวนไม่ได้
ไม่สร้างสารพิษ บางครั้งเขาใช้คลื่นเสียงลงไปทำให้เชื้อที่มีรูปร่างครบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
และใส่เคมีบางอย่างผสมลงไปเพื่อช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิได้ดียิ่งขึ้น วัคซีนที่เรารู้จักกันดีได้แก่ วัคซีนโรคไข้ทรพิษ
วัคซีนบีซีจีสำหรับวัณโรค วัคซีนบาดทะยัก ไอกรน คอตีบ หัดเยอรมัน เป็นต้น ตั้งแต่โลกเข้าสู่ยุคอณูชีววิทยา
ความรู้ในเรื่องการตัดต่อยีนเรามีมาก เราเริ่มต้นจากการปรับปรุงพันธ์พืชก่อน
และในที่สุดก็เข้ามาสู่วงการแพทย์และสาธารณสุข
เราใช้การตัดต่อยีนของไวรัสเข้ากับไวรัสอีกตัวหนึ่ง เรายังคงต้องพึ่งไวรัสเพราะไวรัสมีคุณสมบัติการจับกับผิวเซลและส่งตัวมันเองซึ่งก็คือสารพันธุกรรมเข้าไปในเซลคนหรือเซลสัตว์ วัคซีนยุคใหม่จึงเป็นพันธุวิศวกรรมยีนของไวรัสที่ต้องการทำวัคซีนแปะติดไว้กับสารพันธุกรรมส่วนที่เพิ่มตัวเองได้ของไวรัสอื่น วัคซีนโควิดเขาเลือกใช้ไวรัสชื่อสกุลอะดีโน
แยกได้จากลิงชิมแปนซีในอัฟริกา Chimpanze adenovirus vector (ChAd)
ภายหลังตัดต่อจนเห็นว่ามันทำงานจำลองตัวเองบังคับให้ร่างกายสร้างภูมิจากยีนไวรัสอีโบลา
เลยนำมาดัดแปลงใส่ยีนของ ซาร์โควี-2 เข้าไปแทน ไวรัสตัวปลอมที่ฉีดเข้าไปจะหลอกเซล/ร่างกายให้สร้างโปรตีนตามชนิดยีนที่มันแปะติดอยู่เป็นขั้นแรก แล้วภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงถูกกระตุ้นตามมาในภายหลัง กระตุ้นด้วยโปรตีนที่ไวรัสสร้างขึ้นมาในร่างกายของเรา
โดยปกติแล้วการพัฒนาวัคซีนหนึ่งๆใช้เวลานานกว่า 20 ปี
ขั้นที่นานที่สุดคือค้นหาวิธีทางพันธุวิศวกรรม
เลือกว่าจะใช้ยีนไหนซึ่งหมายความว่าโปรตีนไหนของไวรัส เพราะยีนคือรหัสคำสั่งของการสร้างโปรตีนที่จำเพาะ
เมื่อทดสอบเบื้องต้นในหลอดทดลองเสร็จก็จะศึกษาในหนูทดลองซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แล้วค่อยมาศึกษาในลิงซึ่งเป็นไพรเมทเช่นเดียวกับคน หากผ่านลิงมาได้ จะเข้ามาสู่การทดลองในคนซึ่งแบ่งไว้เป็น
3 เฟส
แต่ละเฟสจะคัดเลือกกลุ่มอาสาสมัครเข้ามาจากกลุ่มเล็กขยายไปจนเป็นกลุ่มใหญ่ในเฟสท้าย
ซึ่งแน่นอนว่าควรต้องครอบคลุมทั้งคนหลายเชื้อชาติ หลายวัย เพศ ไลฟ์สไตล์
ทั้งสามเฟสนี้ในสถานการณ์ปกติใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี ดูผลทั้งระยะสั้นและผลระยะยาว เพื่อพิสูจน์ว่า
วัคซีนนี้มีฤทธิ์ในการเป็นภูมิคุ้มกันปกป้องจริงหากมีการติดเชื้อ มีผลข้างเคียงต่ำ
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวตอบสนองอย่างไร คนตั้งครรภ์ยังคลอดบุตรได้ตามปกติหรือไม่ ให้นมบุตรได้หรือไม่ อุบัติการณ์ของมะเร็ง การเป็นหมัน ตลอดจนโรคต่างๆที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งไม่ได้ดูกันในเวลาแค่หนึ่งปี
แต่ยาวนาน
มีวัคซีนและยาหลายชนิดที่ต้องประกาศยุติลงหลังจากรับรองแล้วเพราะใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะแสดงผลร้ายแรง สำหรับวัคซีนโควิดนี้เรารวบรัดทั้ง 3
เฟสเหลือเวลาไม่ถึงครึ่งปี ณ
ต้นเดือนมกราคมปี 2563 เรามีวัคซีนที่รู้จักและประกาศกันออกมาจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป
4 ชนิด ได้แก่ AstraZeneca, Moderna, Pfizer และ Sputnik
V
ซึ่งทุกวัคซีนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การขนส่งต้องแช่แข็งเพราะเป็นวัคซีนที่เป็นสารพันธุกรรมที่เสื่อมสลายง่ายหากไม่ทำแห้ง สำหรับจีนผลิต Sinovac เป็นวัคซีนแบบเดิม
คือเลี้ยงเชื้อแล้วทำให้มันหมดฤทธิ์ก่อนเอามาทำแห้งบรรจุขวด
ถ้าเช่นนั้นวัคซีนตัวไหนดีกว่ากัน
โดยทฤษฎีแล้ว
ร่างกายคนเรามักสร้างภูมิคุ้มกันต่อเปลือกนอกของไวรัสได้ดีที่สุด เร็วที่สุด
และมักมีคุณสมบัติทำลายล้างไวรัสได้ดี (แต่ไม่ได้เสมอไปทุกกรณี) การตัดต่อยีนที่ถอดรหัสโครงสร้างโปรตีนส่วนนอกมาทำวัคซีนจึงทำได้อย่างรวดเร็วในห้องปฏิบัติการ สามารถทำวัคซีนได้จำนวนมากในเวลาอันสั้นด้วยเทคโนโลยีชีวภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงดูเหมือนว่าวัคซีนสมัยใหม่แบบนี้จะมีภาษี
เป็นวัคซีนเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ชนิดแรกของโลกที่นำมาใช้กับมนุษย์ใช้
แต่...หากสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อโครงสร้างอื่นของไวรัสด้วยก็จะได้ภูมิคุ้มกันเต็มระบบต่อไวรัสนั้นๆ เรามักพบว่าโครงสร้างโปรตีน E ของโคโรนาไวรัสมีผลยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสในเซล
เป็นต้น หากมองแบบนี้วัคซีนของจีนซึ่งเป็นโปรตีนจากไวรัสทั้งตัวจะมีความไวดีกว่า
ไม่จำเพาะเหมือนวัคซีนยีนที่ใช้พันธุวิศวกรรม
สิ่งที่น่าคิดอีกประการหนึ่ง มนุษย์เราปฏิเสธและกลัวอาหาร GMO
เราไม่ต้องการเมล็ดพันธุ์พืชที่ตัดต่อพันธุกรรมมา
เพราะเราไม่อยากได้พันธุกรรมแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย เมื่อสิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีวิวัฒนาการ
พันธุกรรมส่วนหนึ่งของแบคทีเรียเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเซลที่เราเรียกไมโตคอนเดรีย
แถมยังทำหน้าที่ควบคุมพลังงานแบบเบ็ดเสร็จ
แบคทีเรียบางชนิดเข้าไปเป็นส่วนของคลอโรพลาสต์ที่อยู่ในพืช สำหรับไวรัสกลุ่มอะดิโนนี้ไม่มีรายงานการแฝงตัวเข้าไปในพันธุกรรมของมนุษย์
แต่สิ่งหนึ่งที่เก็บไว้เป็นข้อคิดคือ หากมีไวรัสสองชนิดโจมตีร่างกายพร้อมกัน
ในบางขณะอาจมีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างกันได้ หากมีไข้จึงไม่ควรฉีดวัคซีน มีไวรัสชนิดหนึ่งที่มีนามสกุลว่า
retro ที่เรากลัวนักกลัวหนา
เพราะไวรัสกลุ่มโรคเอดส์หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นสมาชิกของไวรัสกลุ่มนี้ ร่างกายคนเราและสัตว์ชั้นสูงมีบางส่วนของยีนเรโทรนี้แฝงเข้ามาในสายวิวัฒนาการมาหลายสิบล้านปีแล้ว
มันอยู่ร่วมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรมมนุษย์ สร้างโปรตีนที่เป็นโครงสร้างอวัยวะหลายตำแหน่ง
และวันดีคืนดี ไวรัสกลุ่มเรโทรที่ติดเชื้อเข้ามาใหม่กระตุ้นจนเราเกิดมะเร็ง
เพราะอะไรหรือ
ลักษณะการเพิ่มจำนวนของไวรัสเรโทรอาศัยการแฝงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครโมโซมมนุษย์
และมันก็เพิ่มจำนวนไปพร้อมๆกับเวลาที่เซลแบ่งตัว
หากเกิดการแฝงตัวแทรกเข้าไปในยีนบริเวณที่ควบคุมการเจริญเติบโต ทำให้เกิดการแบ่งตัวไม่หยุด
หรือทำให้กลไกการยับยั้งการแบ่งตัวสูญเสียไป
ย่อมนำมาสู่การเกิดเนื้องอกในที่สุด
ลักษณะการที่ไวรัสแฝงเข้าไปในพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตนี้ทำให้การรักษาเอดส์
และโรคติดเชื้อในกลุ่มไวรัสเรโทรเป็นไปได้ยาก
เพราะยาฆ่าได้แต่ไวรัสที่ทำงานมีกิจกรรม แต่ไม่สามารถฆ่าไวรัสที่แฝงตัวนิ่งๆ
ทำไมเขาถึงกลัวกันว่าจะเป็นหมัน
ผมได้เล่าเรื่องไวรัสเรโทรว่าแฝงเข้ามาอยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 7
ของมนุษย์ตั้งแต่ยุคบรรพชีวินหลายสิบล้านปีมาแล้ว และมันพายีนหนึ่งมาด้วย ยีนนี้ถอดรหัสออกมาเป็นโปรตีนโครงสร้างตัวหนึ่ง
มันหลอมรวมกับโปรตีนและเนื้อเยื่ออื่นสร้าง เป็นโครงสร้างที่เรียกว่าชื่อซินซิเชียล
syncytial knot เป็นส่วนของโครงสร้างรก รกเป็นชิ้นส่วนที่ส่งผ่านอาหารและอากาศจากแม่ไปสู่ลูกและรับของเสียออกมา
สาเหตุหนึ่งของการแท้ง หรือตัวอ่อนจากการผสมเทียมไม่ฝังตัวเพราะมีการพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ของรก สิ่งที่เขากังวลกันแม้จะยังไม่มีหลักฐานมากเพียงพอคือ โปรตีน S ของโคโรนาไวรัสที่เราเอามาทำเป็นวัคซีนนั้น
กว่าร้อยละ 76 หน้าตามันเหมือนกับซินซิเชียลโปรตีน ถ้าร่างกายเราสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีน
S
แล้ว มันจำแนกออกไหม มันจะทำลายรกที่มีหน้าตาคล้ายๆกันจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ไหม ปกติร่างกายคนเรามีกลไกป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันที่เราสร้างขึ้นมาโจมตีตัวเราเอง
เว้นไว้แต่คนที่เป็นโรคออโตอิมมูน
ถ้าอาศัยหลักการคิดแบบนี้โอกาสที่ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนจะทำลายเนื้อเยื่อเราเองจึงมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ
แล้วเราจะแพ้หรือมีอาการข้างเคียงอะไรไหม
การแพ้วัคซีนเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะกับวัคซีนโลกโบราณ
เราแพ้เพราะมันเป็นเชื้อโรค เราถูกมันบุกรุกย่อมต้องมีการปวดหัว
ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อาเจียน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ภูมิตอบสนองของแต่ละคน
บางทีเราก็แพ้เพราะสารอื่นที่เขาเติมเพิ่มลงไปเพื่อรักษาสภาพเชื้อให้มีอายุการเก็บยานานๆ อาการที่ร่างกายตอบสนองเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมใหม่คือเมื่อมีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดอิมมูโนโกลบูลิน
จี (immunoglobulin G, IgG)ให้หลั่งออกมา มันจะกระตุ้นเซลเม็ดเลือดขาวที่ชื่อ T4 ให้จับเชื้อโรคกินด้วย
เมื่อเม็ดเลือดขาวจับเชื้อกินร่วมกับเซลภูมิคุ้มกันอื่นๆ เช่น มาโครฟาจ
เซลพิฆาตต่างๆ จะมีการกระตุ้นให้หลั่งสารน้ำออกมาหลายชนิดตามๆกันมา ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนต่างๆ
เช่น อินเตอร์ลิวคีน อินเตอรเฟียรอน ทีเอ็นเอฟ
สารเหล่านี้เป็นสารที่เกิดขึ้นมาส่งสัญญาณว่าร่างกายกำลังเกิดการอักเสบ
จะยิ่งไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่างๆให้ทำงานต่อสู้การอักเสบที่กล่าวมาแล้วทำงานเพิ่มอีก ถ้ามันทำงานแต่พอดีเราก็มีอาการนิดๆหน่อยๆแล้วก็หายไปใน
1-2 วัน แปลว่ามันชะลอหรือหยุดทำงาน บางคนไม่มีอาการเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามันกระตุ้นจนเอิกเกริก เขาเรียกว่ามันเกิดพายุไซโตไคน์ คือมีโปรตีนภูมิคุ้มกันที่เป็นสารน้ำออกมามหาศาล
ยิ่งออกมากก็ส่งสัญญาณว่ามีการอักเสบมากก็ยิ่งเรียกให้เซลในระบบภูมิคุ้มกันสร้างภูมิที่เป็นสารน้ำมากขึ้น
และสุดท้ายโปรตีนในระบบภูมิคุ้มกันที่มีมหาศาลนี้จะเข้าโจมตีอวัยวะต่างๆแทน ทำให้การทำงานของอวัยวะที่ถูกโจมตีล้มเหลว เช่นไตวาย พายุไซโตไคน์เกิดขึ้นกับคนที่มีภูมิไวเกิน
เกิดเมื่อร่างกายได้รับสารแปลกปลอม เช่น ติดเชื้อ วัคซีนก็ถือเป็นสารแปลกปลอมชนิดหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนที่เราทราบข่าวดาราติดเชื้อไข้เลือดออกแล้วถึงแก่กรรม
นั่นคือตัวอย่างของภาวะพายุไซโตไคน์
วัคซีนมันคุ้มครองเราได้จริงหรือ
ถ้าเราเข้าใจไวรัสโคโรนา เราจะรู้อย่างหนึ่งว่าเป็นไวรัสที่ชอบกลายพันธุ์
โดยปกติชอบกลายพันธุ์ที่โปรตีนเปลือกนอก คือโปรตีน S
ที่เขาเอามาทำวัคซีน
ตรงที่เอามาทำวัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างสร้างภูมิดีที่สุด
แต่แปลงร่างบ่อยที่สุด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เราฉีดกันมามันคุ้มครองเราได้แค่บางสายพันธุ์
เพราะมันเปลี่ยนเสื้อข้างนอกตลอดเวลา เปลี่ยนมากจนภูมิคุ้มกันจดจำไม่ได้ โควิดก็เหมือนกัน
ไม่มีหลักประกันอะไรบอกเราว่าฉีดไปแล้วไม่เป็นโควิด เพราะจะมีเชื้อซาร์โควี-2 ที่กลายพันธ์ออกมาเรื่อยๆในเวลาไม่กี่เดือน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพของวัคซีน
ประสพการณ์บอกความไม่แน่นอน
เขาศึกษาวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนามากว่า 20 ปี ถ้าเราค้นกูเกิลคำว่า corona vaccine in
animal เราจะเห็นว่าไม่มีงานวิชาการชิ้นไหนประสพความสำเร็จเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เชื้อเดียวกันเมื่อบุกรุกสัตว์ต่างชนิดจะทำให้เกิดโรคในสัตว์ที่อวัยวะต่างกัน
เช่นทางเดินหายใจในไก่ ท้องร่วงท้องเสียในสุกร
วัคซีนสำหรับสัตว์ที่ขายกันอยู่มีข้อจำกัดในการใช้ทั้งในปศุสัตว์และในสัตว์เลี้ยงเช่นหมาแมว บางการวิจัยพบไวรัสเพิ่มจำนวนมากในม้ามสัตว์ภายหลังการฉีดวัคซีนเชื้อเป็นก็มี
มีคำถามมากมายที่ยังไม่มีคำตอบ
และเป็นไปในทางลบเสียส่วนใหญ่ และวันนี้เราก็ใช้โมเดลทางพันธุวิศวกรรมที่เราทำวัคซีนในสัตว์เข้ามาทำวัคซีนของมนุษย์
ควรฉีดวัคซีนไหม
ผมว่าทุกคนรอคำตอบในย่อหน้าสุดท้ายนี้ว่าถ้าวัคซีนมาแล้วไปฉีดดีไหม สมมติว่าผมเป็นผู้หญิงคิดจะเตรียมมีบุตรผมคงต้องหยุดคิดเสียแล้วว่า มันมีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ไหม การทดลองวัคซีนอย่างรวบรัดกับคนไม่กี่หมื่นคน ในจำนวนนี้เป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์สักกี่คน ยังไม่มีใครรายงาน แต่มีใครเริ่มศึกษาในห้องทดลองหรือยังว่าแอนติบอดีที่เกิดจากวัคซีนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบนผิโปรตีนซินไซเชียล
มีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีกี่รายที่ทดสอบวัคซีนนี้ แม้จะเป็นไวรัสตัวปลอม แต่ก็มีส่วนของยีนไวรัสซาร์โควี-2 ซึ่งตัวไวรัสเองทำให้ผู้สูงอายุมีอัตราการตายสูงกว่าวัยอื่นอย่างมีนัยสำคัญ มีผู้ทดลองวัคซีนเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจกี่คน เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ก็มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดสูงกว่าคนกลุ่มอื่นเช่นกัน
ถ้าผมกลัวว่าไวรัสมันจะแฝงตัวเข้าไปในพันธุกรรมของผม ผมคงเลิกวิตกกังวลเพราะไวรัสอะดิโนมันยังไม่มีรายงานว่ามันมีพฤติกรรมอย่างนั้น กว่าผมจะพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งถ้ามันอุตริจะเข้าไปทำอะไรก็คงอายุเข้าใกล้ฝั่งเต็มทน แต่ผมก็ไม่ชอบที่ปล่อยให้อะไรบางอย่างที่ผมไม่เห็น ไม่รู้ ไม่มีข้อมูลมากพอเข้าไปในตัวผม สั่งให้เซลในตัวผมสร้างอะไร เหมือนตัวเองโดนเอเลี่ยนเข้ามาบงการชีวิต
ผมฉีดวัคซีนมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และมีภูมิมาแล้วแบบไม่รู้ตัว น่าจะมีโอกาสต่ำถ้าไม่ซวยจนเกินไปที่จะเกิดพายุไซโตไคน์ แต่ไม่มีหลักประกันอะไรที่บอกว่าไวรัสโคโรนาปลอดภัยเพราะผู้ป่วยโควิดช่วงที่ระบาดใหม่ๆส่วนหนึ่งทรุดหนักจนถึงตายเพราะพายุไซโตไคน์ ปัจจุบันแพทย์ก็มีประสพการณ์รับมือกลุ่มอาการนี้เป็นอย่างดีแล้วด้วยยาสเตียรอยด์ ถ้าจะกลัวพายุไซโตไคน์ก็คงเบาใจลงได้เปลาะหนึ่ง
เรามาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ และยอมรับความเสี่ยงที่จะฉีดวัคซีนอะไรก็ไม่รู้ที่โลก (ทั้งวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์) ไม่รู้จักมันดีพอ พลเมืองโลกมีอยู่ 7.8 พันล้านคน ถ้าจะตายไปบ้างจากการแพ้วัคซีนสักหนึ่งในหมื่น ก็แค่ 0.0001% ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เราสามารถเลือกทางข้างหน้าของตัวเอง และยอมรับผลในสิ่งที่ตัวเองเลือก บาดเจ็บเพราะวัคซีนหรือเพราะติดเชื้อโควิด ซึ่งเราอาจไม่ติดโควิดเลยก็ได้ ขอให้โชคดีในสิ่งที่เลือก
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7284272/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น