ผมเป็นเจ้าของกล้อง Olympus
OMD จุดประสงค์ของกล้องรุ่นนี้ที่เขาออกแบบไว้
เล็กกระทัดรัด คล่องตัว
ก่อนที่จะมาใช้กล้องรุ่นนี้ผมใช้กล้อง Olympus 4/3
มาก่อน มีตั้งแต่รุ่น E1, E3, E420
และเลนส์สะสมไว้ครบช่วงตั้งแต่ 7-200 มม.
เมื่อหมดยุคของกล้อง 4/3 ผมจำใจต้องหากล้องไร้กระจก M4/3
ที่ดีที่สุดที่ใช้กับเลนส์เดิมทั้งหมดได้โดยไม่มีข้อจำกัด
เพราะไม่ต้องการลงทุนกับเลนส์ใหม่อีก นั่นคือเลือก OMD Em-1 ซึ่งมันตอบสนองต่อการได้ภาพดีน่าพอใจ เลนส์มาตรฐานรุ่นใหม่ๆที่ใช้กับกล้อง M4/3 ล้วนมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และคุณสมบัติที่หลากหลายมากขึ้นตามยุคสมัย
แต่เลนส์เกรดโปรที่ออกแบบมากลับมีน้ำหนักและขนาดใกล้กับเลนส์ 4/3
คือไม่สามารถลดขนาดมันลงได้ ยิ่งกล้องไร้กระจกที่ทำเซ็นเซอร์ออกมาใหญ่เท่าฟิล์ม
35มม. แล้ว ขนาดของเลนส์จะใหญ่มากไม่สัมพันธ์กับขนาดของตัวกล้องเลย
นักเล่นหน้าใหม่มักมีคำถามว่าจะใช้เลนส์ซูมมาตรฐานดีไหม
แต่มักมีผู้เข้ามาแนะนำให้ใช้เลนส์เกรดโปร หรือใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสเดียวและอ้างสรรพคุณต่างๆนานาที่ไม่ก่อให้เกิดภาพชัดเจนแก่ผู้ถามว่ามันดีเรื่องอะไร มันไม่ดีเรื่องอะไร และสรุปสุดท้ายว่าเลนส์ซูมมาตรฐานเป็นเลนส์เป็ด ทำได้เกือบทุกอย่างแต่ไม่ดีสักอย่าง หลายท่านมีกล้องเดียว
แต่มีเลนส์ทางยาวโฟกัสเดียวเต็มกระเป๋า
เวลาออกไปถ่ายภาพก็มักต้องนำออกไปทั้งหมดด้วยความรักพี่เสียดายน้องในช่วงระยะต่างๆ
เลนส์ซูมมาตรฐานที่ติดมากับชุดกล้องจึงถูกประกาศขายจนราคาต่ำเตี้ยเหลือเพียงไม่กี่พันบาท
สำหรับผมที่เป็นนักท่องเที่ยวและใช้กล้องมือสมัครเล่น
ต้องการภาพที่ดีในระดับหนึ่ง
แต่ต้องไม่ทำให้การเดินทางการท่องเที่ยวของผมหมดสนุก มีสถานที่หลายแห่งที่ผมไม่สามารถพกกล้องและเลนส์ถ่ายรูปไปได้มาก
เช่นการปีนเขา การเดินป่า ที่มีสัมภาระต้องขนย้ายมากมาย ผมจำเป็นต้องเลือกเลนส์ที่มีขนาดกระทัดรัด
สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ถ่ายมาโครได้
มีระยะโฟกัสที่ใกล้ที่สุดกว่าเลนส์ทั่วไป
มีการซูมเข้าออกแล้วภาพไม่สั่นไหวขณะบันทึกวีดิทัศน์ มีความชัดตื้นของภาพที่ระยะต่างๆพอสมควร
เป็นต้น
เลนส์ซูมมาตรฐานจึงเป็นสิ่งที่ผมเลือกนำมาทดสอบ วันนี้ผมจะพูดถึงเลนส์มาตรฐาน 2 ตัว
mZD12-50mm f3.5-6.3EZ ผมซื้อเลนส์นอร์มอลซูมตัวนี้ต่อจากผู้ใช้รายหนึ่งก่อนออกเดินทางขึ้นยอดโมโกจู
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ไม่กี่วัน ทำได้เพียงทดสอบมันคร่าวๆในป่าปลูกของสวนรถไฟเท่านั้น เลนส์ตัวนี้มีน้ำหนัก 211 ก. หน้าเลนส์ 52มม.
ประกอบด้วยชิ้นเลนส์ 10 ชิ้น มี 1 ชิ้นที่กระจายแสงต่ำเป็นพิเศษ อีก 2
ชิ้นเป็นเลนส์แก้ความเหลื่อมสีที่ขอบภาพ
เป็นเลนส์ที่ป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ
ใช้มอเตอร์ MSC ทำให้โฟกัสได้ดีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว อาศัยการเคลื่อนตำแหน่งชิ้นเลนส์ภายในทำให้หน้าเลนส์ไม่หมุนตามการโฟกัส
การถ่ายภาพระยะใกล้ๆหรือมาโครเข้าใกล้วัตถุได้ถึง 20 ซม. ให้อัตราขยาย 1:2 เมื่อกดปุ่มมาโครบนกระบอกเลนส์คาไว้และผลักกระบอกซูมไปข้างหน้ากล้องจะปรับตั้งระยะมาโครไว้ที่ทางยาวโฟกัส
43มม. สิ่งที่คนตำหนิคือรูรับแสงกว้างสุดเพียง
f6.3
ทำให้โอกาสได้ความชัดลึกของภาพมีไม่มากที่ระยะ 50มม. จะถ่ายภาพบุคคลก็ไม่สามารถละลายฉากหลังได้มากนัก
ความคมชัดของภาพทำได้ดีในรูรับแสงกว้าง f4.0-f8.0
คุณภาพจะลดลงเมื่อรูรับแสงแคบลง โดยเฉพาะเมื่อใช้ทางยาวโฟกัส 50มม. ลองมาดูข้อดีของเลนส์ตัวนี้กันดู 1) มีความกว้างถึง 12มม.(เทียบเท่า
24มม.กล้องฟิล์ม) ทำให้บันทึกภาพในที่แคบๆได้ เช่น ภายในแกลเลอรี โบสถ์ อาคาร
สถาปัตยกรรม ดีกว่ามาตรฐานทั่วๆไป 14มม.
(เทียบเท่า 28มม.กล้องฟิล์ม) 2) สามารถบันทึกภาพที่ต้องการโฟกัสความชัดได้ตั้งแต่ฉากหน้าระยะใกล้ๆ
และภาพยังคมชัดไปถึงฉากหลัง เพราะระยะเลนส์ 12มม.
ให้ความชัดทั่วถึงทั้งภาพพอสมควรตั้งแต่รูรับแสง f4.0 ขึ้นไป
3) สามารถถ่ายภาพมาโครได้ในระยะ 20 ซม. 4)
หากไม่มีเลนส์เทเลซูม สามารถใช้ดิจิตัลซูมขนาด 2X เสมือนได้ภาพจากเลนส์ 48-200มม.
แม้ว่าภาพจะไม่คมตลอดทั้งระนาบ แต่ก็พอแก้ขัดไปได้ 5)
การซูมขณะบันทึกวีดิทัศน์ทำได้ราบรื่นกว่าการใช้เลนส์อื่นๆ เพราะเขาออกแบบมาอย่างนั้น 6)
กล้องรุ่นใหม่มีการพัฒนาโปรเซสเซอร์จนสามารถใช้ ISO มากกว่า
1600 เพื่อหยุดภาพให้นิ่ง 7) ขนาดกระทัดรัดมาก
สูงเพียง 8 ซม.ด้วยน้ำหนัก 2 ขีด
ซึ่งเมื่อเทียบกับเลนส์ 4/3 (ZD12-60mm f2.8-4.0 SWD)
ที่ผมใช้ประจำ มีน้ำหนักถึง 575ก. เส้นผ่าศูนย์กลาง 79.5มม. สูง 98.5มม.
โดยยังไม่รวม MMF3 adapter ทำให้การจับถือกล้อง Em-1 ทั้งวันโดยไม่มีแบตเตอรีกริปเมื่อยล้ามาก
 |
ขนาดของเลนส์ซูมมาตรฐานเมื่อเทียบกับเลนส์ 4/3 บนกล้อง OMD Em-1 |
ความเอนกประสงค์ของมันทำให้ผมสามารถใช้ติดกล้องเพียงตัวเดียวขณะเดินป่าได้
สามารถถ่ายเห็ด ดอกไม้ขนาดหัวไม้ขีดไฟถึงปลายก้อย
ถ่ายสภาพป่าที่แสงตกถึงพื้นไม่มาก
ถ่ายสภาพป่ากว้างๆจากโคนถึงยอดตะเคียนบนเส้นทางที่จำกัดไม่ให้เดินหน้าถอยหลัง ถ่ายธารน้ำ น้ำตกให้สายน้ำฟุ้งกระจาย
ถ่ายตะวันขึ้นและตกให้เห็นสภาพแสงทไวไลท์
สำหรับผมเพียงเท่านี้ก็ถือว่ามันทำงานได้มากกว่าค่าตัว จากทริปเดินป่าโมโกจูผมติดใจนำมันไปทุกที่
ในเมือง เข้าพิพิธภัณฑ์ ใช้เป็นเลนส์หลักและเลนส์สำรอง เพราะความเบา ความกระทัดรัด
และได้ช่วงพอเหมาะ
 |
มอสในยามเช้า 43mm, f6, 1/15s, -0.7eV, ISO200, macro |
 |
เห็ดใต้ขอนขนาดเท่าไม้ขีดไฟ 43mm, f6, 1/6s, -0.3eV, ISO3200, macro |
กองไฟยามค่ำคืน 24mm, f5.6, 1/15s, -1.3eV, 24mm, ISO1600
 |
ใยแมงมุม ภาพตัดกรอบขยาย 100% จากขอบภาพ 41mm, f5.9, -0.7eV, ISO200 |
 |
น้ำตกในดงไม้ร่มครึ้ม 26mm, f6.3, 1/13s, -1.3eV, ISO400 |
 |
ธารน้ำตก โฟกัสที่ใบไม้แดง แล้วจัดองค์ประกอบมาไว้ที่ขอบภาพ 26mm, f9, 1/6s, ISO64 |
 |
ก่อนตะวันขึ้น 12mm, f3.5, 1/16s, ISO3200 |
 |
ภาพดิจิทัลซูม 2X ของ 20mm, f5.6, 1/1000s, ISO400 |
 |
ตะวันขึ้นกับหมอกเช้า 12mm, f11, w/640s, ISO200 |
เลนส์ตัวที่ 2 mZD40-150mm
f4.0-5.6R ผมได้เลนส์เทเลซูมตัวนี้ซื้อต่อมาเมื่อปลายปี 2020 ตอนจองคิวคิวขึ้นภูกระดึงและเกรงว่าจะไม่มีลูกหาบต้องแบกสัมภาระเอง ลองมาดูการออกแบบเลนส์ตัวนี้กัน
ประกอบด้วยเลนส์ 13 ชิ้น เป็นเลนซ์กระจายแสงต่ำพิเศษ 1 ชิ้น และหักเหแสงอีก 1 ชิ้น มีหน้าเลนส์ขนาด
58มม. สามารถใช้กับรูรับแสงในช่วง f4.5-22 สามารถบันทึกภาพได้ใกล้สุดที่ระยะ
90ซม. ระบบโฟกัสเร็วและเงียบด้วยมอเตอร์ MSC เลนส์มีน้ำหนัก 190ก.
มีความสูงกระบอกเพียง 8.3ซม.เท่านั้น
สามารถใช้ได้ที่ทางยาวโฟกัส 40-150มม. (เทียบเท่า
80-300มม.กล้องฟิล์ม) และเช่นเดิมที่เขาตำหนิกันคือรูรับแสงกว้างสุดเพียง
f3.5 และ f5.6
เมื่อใช้ทางยาวโฟกัสสุดกระบอก ทำให้ละลายฉากหลังไม่มากพอ รวมถึงความคมชัดของภาพที่
40 และ150มม.ที่ยังทำได้ไม่ดีทั้งระนาบ คือคมเฉพาะกลางภาพ
และท้ายเลนส์ส่วนที่ประกบตัวกล้องเป็นพลาสติก
ถ้าเช่นนั้นลองมาดูข้อดีของเลนส์ตัวนี้กันบ้าง 1) น้ำหนักเบาและขนาดกระทัดรัดมาก ถ้าผมใช้ร่วมกัน mZD12-50mm f3.5-6.3 EZ
ผมจะได้ความยาวโฟกัสครบช่วงเทียบเท่า 24-300 มม. f3.5-6.3 2) ผมสามารถถ่ายภาพระยะใกล้เพียง
90 ซม.ตลอดช่วงซูม
ผมไม่สามารถเอาเลนส์ซูมมาตรฐานถ่ายผีเสื้อหรือแมลงในระยะใกล้ๆ
แต่ผมใช้เลนส์ตัวนี้ต่างมาโครได้สำหรับแมลงและดอกไม้ขนาดใหญ่ 3) ภาพละลายหลังของเลนส์ตัวนี้และโบเก้ทำได้ระดับที่รับได้ คือทำให้ตัวแบบเด่นชัดจากฉากหลัง ไม่ถึงขนาดเบลอจนไม่รู้ว่าเบื้องหลังคือฉากอะไร มีแต่โบเก้เต็มไปหมด 4) ความคมชัดที่กลางภาพดีตลอดช่วงซูมที่กลางภาพ ซึ่งยังคงใช้ได้กับภาพหลายประเภท
เช่น ภาพกีฬา ตะวันดวงกลมโตตอนขึ้นและตอนตก
และที่สำคัญคือไม่มีการบิดเบือนของรูปและความเหลื่อมสีที่ขอบภาพ 5)
กล้องรุ่นใหม่มีการพัฒนาโปรเซสเซอร์ดีขึ้นจนผมสามารถใช้ ISO มากกว่า
1600 ทำให้ผมมองข้ามขนาดรูรับแสง f4.0-5.6
ไปได้
 |
ขนาดของเลนส์เมื่อเทียบกับ ZD 40-150mm, f3.5-4.5 พร้อม MMF3 (ภาพกลาง) และ ZD 50-200mm, f2.8-3.5 (ขวา)
|
 |
ตะวันตกดิน 150mm, f16, 1/160s, ISO200
|
ต้นสน (ในทางยาวโฟกัสที่ชัดที่สุด) 70mm f16, 1/20s, ISO200
 |
จันทร์ลาลับฟ้า 92mm, f11, 1/10s, ISO1600 |
 |
ตะวันในสายหมอก 96mm, f11, 1/125s, ISO200 |
 |
ดอกหญ้าข้างทาง การละลายฉากหลังที่ระยะใกล้สุด 90ซม. 145mm, f5.6, 1/640s, ISO200 |
สำหรับผม
เลนส์ซูมมาตรฐานทั้งสองตัวนี้ตอบโจทย์ของผมในการบันทึกภาพท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
จนผมติดใจ และใช้เลนส์เกรดโปรเดิมของผมน้อยลง เนื่องด้วยน้ำหนัก และผมเริ่มตระหนักถึงอายุที่มากขึ้น
หากเรามีความเข้าใจทฤษฎีการถ่ายภาพถึงระดับหนึ่งจะเป็นกล้องอะไรหรือเลนส์อะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์การถ่ายภาพของแต่ละคน
สำหรับผมขอใช้กล้องและเลนส์ที่มีอยู่ต่อไปจนกว่าจะถือไม่ไหว
และจนกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆช่วยให้คุณภาพของภาพดีขึ้นมาก
ถึงตอนนั้นผมจะกลับไปใช้กล้อง DSLR (ถ้ายังมีผลิตออกมา)
ในระดับเริ่มต้น entry-level ความสุขไม่ได้อยู่ที่กำลังใช้กล้องและอุปกรณ์อะไร
แต่อยู่ที่ภาพจริงเบื้องหน้าและภาพที่เราบันทึกเปรียบเทียบไว้เท่านั้น
หมายเหตุ ภาพทั้งหมดผมถ่ายเป็นไฟล์สกุล jpeg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น