![]() |
กล้องไร้กระจกซ้ายสุด และขวาสุดใส่กริปเพื่อจับถนัดขึ้น |
พอก้าวเข้าสู่ดิจิตัล 4.0 ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด กล้องถ่ายรูปที่วัฒนาการมาตั้งแต่ปี 1951 ขึ้นไปถึงยอดขายสูงสุดปี 2010 คือ 121 ล้านตัว เวลาผ่านไปแค่ 7 ปีมันตกฮวบหายไป 84% เพราะกล้องจากมือถือเข้ามาแทนที่
กล้องไร้กระจกเพิ่งพัฒนาเข้าตลาดเมื่อยังไม่ถึงหกปีดี มีส่วนแบ่งตลาดจาก 5% เป็น 22%ในปี 2018 กล้องมองภาพผ่านกระจก DSLR ได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 22 เป็น 34% เพราะคนส่วนหนึ่งหันมาใช้กล้องเปลี่ยนเลนส์ด้วยความรู้สึกย้อนยุคและต้องการคุณภาพของภาพกันเพิ่มขึ้น กลุ่มที่ย้ายเข้ามาในกล้องสองกลุ่มนี้คือพวกที่เคยถ่ายภาพด้วยกล้องเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ (กล้องสแนปชีอตทั้งหลาย) สัดส่วนของกล้องจึงยังคานกันอยู่ แนวโน้มของการพัฒนากล้องให้ไม่มีกระจก คือย้ายจาก DSLR และแบบสแนปช๊อตมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลที่มาจาก DSLR คือ ปัจจุบันกล้องไร้กระจกพัฒนาจนมีคุณสมบัติดีใกล้เคียงกับ DSLR แล้ว และคุณสมบัติบางอย่างเหนือกว่าคือระบบโฟกัสติดตามวัตถุเคลื่อนที่จึงสามารถรัวชัตเตอร์บันทึกได้ 20-30ภาพต่อวินาที เพราะไร้กระจกสะท้อนภาพที่คอยปิดเปิดการทำงานร่วมกับชัตเตอร์ สิ่งที่ได้เพิ่มอื่นๆคือ ขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบาลงหนึ่งในสาม รวมถึงขนาดของเลนส์ก็เล็กลงไปด้วย มิหนำซ้ำยังสามารถพัฒนาจนเป็นกล้องที่มีขนาดของเซนเซอร์เท่ากับฟิล์ม 35มม.ที่เราเรียกกันว่า full frame คือร่นระยะท้ายเลนส์กับเซนเซอร์ลงไป ข้อดีคือสามารถกำหนดระยะชัดตื้นของภาพและโบเก้ได้เป็นอย่างดี แต่เลนส์ก้ต้องมีการพัฒนากันใหม่เพราะมีคุณลักษณะแตกต่างไปจากเลนส์ของกล้องตัวคูณ ในสุดท้ายแล้วเรามักพบว่าเลนส์เกรดมืออาชีพขนาดและน้ำหนักไม่ได้ลดลงสักเท่าไร ทำให้ขนาดของเลนส์ น้ำหนักไม่สัมพันธ์กับตัวกล้องที่เล็กจึงต้องเพิ่มแบตเตอรีกริปเป็นมือจับให้ถนัด เลนส์จากกล้องฟูลเฟรมมีราคาแพงไม่แพ้เลนส์สำหรับกล้อง DSLR ราคาแต่ละตัว 60,000-85,000 บาท และสูงระดับแสนก็มี คล้ายกับว่าเราที่เป็นผู้บริโภคจะถูกหลอก เพราะท้ายสุดแล้วเราก็แบกรับน้ำหนักพอๆกับเดิม คุณภาพไม่ต่างจากเดิมแต่จ่ายในราคาที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากเหล้าเก่าในขวดใหม่
สมัยก่อนกล้องถ่ายรูปอาศัยเลนส์ดีๆหนึ่งตัวที่จะรวมแสงให้ภาพตกลงบนระนาบฟิล์มหรือเซนเซอร์ เท่านั้นเอง แต่ในปัจจุบันขอแค่รวมแสงลงไปได้ก็พอไม่จำเป็นต้องดีเลิศ นอกนั้นเป็นเรื่องของโปรเซสเซอร์จัดการแก้ข้อบกพร่องทั้งหมดและเพิ่มความละเอียดของภาพขึ้นไปอีก ใช้วิธีใส่สองเลนส์แล้วเอามาประมวลเข้าด้วยกันทำให้ภาพมีความชัดลึกชัดตื้นได้อย่างใจและนี่คือแนวทางของกล้องมือถือ จึงเป็นสิ่่งน่าวิตกว่า ตลาดกล้องถ่ายรูปกำลังเล็กลงอย่างต่อเนื่องเพราะกล้องมือถือเข้ามาแทนที่จะทำให้บริษัทกล้องและโรงงานต้องปิดตัวลง และในที่สุดกล้องจะเป็นของพรีเมี่ยมที่มีราคาแพงมาก
ในแง่ของบริษัทผู้ผลิตกล้อง โจทย์ใหญ่คือส่วนแบ่งลูกค้ากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และกลยุทมธ์ของค่ายมือถือหลักคือ กล้องเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเปลี่ยนยี่ห้อโทรศัพท์ สำหรับค่ายมือถือใหญ่ทั้งหลายก็มองว่าในอีกห้าปีข้างหน้านั้นสมาร์ทโฟนจะเปลี่ยนรูปแบบไปอยู่ในรูปแบบการพกพาที่ใช้ผูก เหน็บ หรืออื่นๆแทน คือมีขนาดเล็กลงเช่นผูกเปนนาใิกา เป็นหูฟัง และทำงานด้วยคำสั่งเสียง หรือมีเซนเวอร์จับตามการเคลื่อนไหว ทุกอย่างพึ่งพาสมองกลอัจฉริยะ AI ทั้งบริาัทผู้ผลิตโทรสัพท์เคลื่อนที่ และผู้ผลิตกล้องบันทึกภาพมีโจทย์ให้ขบคิดไม่น้อย เพราะหากการวิจัยพัฒนาผิดพลาด จะทำให้บริาัทล้าหลังไปชนิดตามไม่ติดจนกลายเป็นตำนานไปก็เป็นได้ อาจต้องมีการควบรวมเนื่องจากตลาดเล็กลง แต่ตลาดที่เล็กลงเป็นตลาดที่รู้ขนาดว่าต้องการกล้องเพื่อการถ่ายภาพอย่างจริงจัง
เมื่อยังใช้กล้องฟิล์มที่มีระบบอิเลคทรอนิคทันสมัย กล้องพร้อมเลนส์เกรดสูงชุดละสามหมื่นบาทคือหรูหรามาก ปี 2006 ผมซื้อกล้องดิจิตัลรุ่นสูงพร้อมเลนส์เกรดเยี่ยมหนึ่งชุดได้ในราคา 45,000-50,000 บาท ปี 2014 เฉพาะกล้องเกรดดีเยี่ยมอย่างเดียวไม่รวมเลนส์ราคาแตะหนึ่งแสนบาท กล้องพร้อมเลนส์หนึ่งชุดในปัจจุบันที่มีคุณภาพดีไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ช่องมองภาพผ่านกระจกหรือไร้กระจกสะท้อนต้องมีงบประมาณ 150,000-200,000 บาท ดาวน์รถเก๋งได้สบายๆหนึ่งคัน ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ได้มาแค่เลนส์หนึ่งตัว แต่ยังพ่วงอุปกรณ์เสริมต่างๆเพื่อให้ทำงานได้สมบูรณ์ตามไลฟ์สไตล์ของคน อยู่ที่ว่าคนซื้อจะมีวิจารณญานคำว่าพอดีแค่ไหน โดยส่วนใหญ่ผมเห็นแต่ละคนมีเลนส์ตั้งแต่ 3-6ตัวขึ้นไป
ที่มา:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น