วันศุกร์, กรกฎาคม 26, 2562

ชะรอยกล้องถ่ายรูปก็คือเหล้าเก่าในขวดใหม่

กล้องไร้กระจกซ้ายสุด และขวาสุดใส่กริปเพื่อจับถนัดขึ้น
พอก้าวเข้าสู่ดิจิตัล 4.0 ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด กล้องถ่ายรูปที่วัฒนาการมาตั้งแต่ปี 1951 ขึ้นไปถึงยอดขายสูงสุดปี 2010 คือ 121 ล้านตัว เวลาผ่านไปแค่ 7 ปีมันตกฮวบหายไป 84% เพราะกล้องจากมือถือเข้ามาแทนที่
กล้องไร้กระจกเพิ่งพัฒนาเข้าตลาดเมื่อยังไม่ถึงหกปีดี  มีส่วนแบ่งตลาดจาก 5% เป็น 22%ในปี 2018   กล้องมองภาพผ่านกระจก DSLR ได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 22 เป็น 34% เพราะคนส่วนหนึ่งหันมาใช้กล้องเปลี่ยนเลนส์ด้วยความรู้สึกย้อนยุคและต้องการคุณภาพของภาพกันเพิ่มขึ้น  กลุ่มที่ย้ายเข้ามาในกล้องสองกลุ่มนี้คือพวกที่เคยถ่ายภาพด้วยกล้องเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ (กล้องสแนปชีอตทั้งหลาย)   สัดส่วนของกล้องจึงยังคานกันอยู่  แนวโน้มของการพัฒนากล้องให้ไม่มีกระจก คือย้ายจาก DSLR และแบบสแนปช๊อตมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เหตุผลที่มาจาก DSLR คือ ปัจจุบันกล้องไร้กระจกพัฒนาจนมีคุณสมบัติดีใกล้เคียงกับ DSLR แล้ว   และคุณสมบัติบางอย่างเหนือกว่าคือระบบโฟกัสติดตามวัตถุเคลื่อนที่จึงสามารถรัวชัตเตอร์บันทึกได้ 20-30ภาพต่อวินาที เพราะไร้กระจกสะท้อนภาพที่คอยปิดเปิดการทำงานร่วมกับชัตเตอร์  สิ่งที่ได้เพิ่มอื่นๆคือ ขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบาลงหนึ่งในสาม รวมถึงขนาดของเลนส์ก็เล็กลงไปด้วย  มิหนำซ้ำยังสามารถพัฒนาจนเป็นกล้องที่มีขนาดของเซนเซอร์เท่ากับฟิล์ม 35มม.ที่เราเรียกกันว่า full frame คือร่นระยะท้ายเลนส์กับเซนเซอร์ลงไป  ข้อดีคือสามารถกำหนดระยะชัดตื้นของภาพและโบเก้ได้เป็นอย่างดี  แต่เลนส์ก้ต้องมีการพัฒนากันใหม่เพราะมีคุณลักษณะแตกต่างไปจากเลนส์ของกล้องตัวคูณ  ในสุดท้ายแล้วเรามักพบว่าเลนส์เกรดมืออาชีพขนาดและน้ำหนักไม่ได้ลดลงสักเท่าไร  ทำให้ขนาดของเลนส์ น้ำหนักไม่สัมพันธ์กับตัวกล้องที่เล็กจึงต้องเพิ่มแบตเตอรีกริปเป็นมือจับให้ถนัด  เลนส์จากกล้องฟูลเฟรมมีราคาแพงไม่แพ้เลนส์สำหรับกล้อง DSLR  ราคาแต่ละตัว 60,000-85,000 บาท และสูงระดับแสนก็มี   คล้ายกับว่าเราที่เป็นผู้บริโภคจะถูกหลอก เพราะท้ายสุดแล้วเราก็แบกรับน้ำหนักพอๆกับเดิม คุณภาพไม่ต่างจากเดิมแต่จ่ายในราคาที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากเหล้าเก่าในขวดใหม่ 

กล้องไร้กระจกที่เป็นกล้องตัวคูณตัวแรกซ้ายมือ มีขนาดกล้องเล็กและเลนส์เล็กที่สุด  กล้อง DSLR สองตัวขวาสุดมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นกล้องชนิดฟูลเฟรม  ส่วนกล้องไร้กระจกชนิดฟูลเฟรมที่อยู่ตรงกลางมีขนาดตัวกล้องไม่ต่างจากตัวซ้ายสุด  แต่กระบอกเลนส์ใหญ่พอๆกับเลนส์บนกล้อง DSLR  เลนส์ทั้งหมดอยู่ในช่วงประมาณ 24-70มม. แต่มีขาดรูรับแสงต่างกัน ถ้ารูรับแสงกว้างๆก็จะกระบอกใหญ่ และมีเลนส์บางตัวมีช่วงซูมยืดออกไปถึง 105มม.

เปรียบเทียบขนาดของกล้องตัวคูณไร้กระจก(ซ้าย)  กล้องฟูลเฟรมไร้กระจก (กลาง) และกล้อง DSLR (ขวา)  เห็นได้ชัดว่าเลนส์ที่มีผลกำลังขยายเมื่อใช้งานเท่ากันที่ใช้กับกล้องตัวคูณมีขนาดเล็กที่สุด แต่เลนส์กล้องฟูลเฟรมไม่ว่าจะสำหรับกล้องไร้กระจกหรือกล้อง DSLR มีขนาดไม่ต่างกันมาก

เปรียบเทียบขนาดและน้ำหนักของกล้องจากซ้ายไปขวาดังนี้  กล้องฟูลเฟรม  DSLR, กล้องตัวคูณ DSLR, ส่วนอีกสามตัวทางขวามือเป็นกล้องฟูลเฟรมไร้กระจกสามยี่ห้อ  เห็นได้ว่าขนาดตัวบอดีกล้องไร้กระจกเล็กกว่า แต่ไม่ได้เบากว่ากล้องตัวคูณ DSLR   ส่วนน้ำหนักของเลนส์เบากว่าเล็กน้อย แต่น้ำหนักรวมไล่เลี่ยกับกล้องตัวคูณอย่างมีนัยสำคัญ  เบากว่ากล้องฟูลเฟรม DSLR เพียง 275-510ก. หรือ 17-32% แต่เป็นน้ำหนักที่ไม่มีกริปช่วยจับอีกประมาณ 225ก. ซึ่งหากรวมเข้าไปแล้วก็ถือว่าไม่แตกต่างมากนัก

คนที่ถ่ายภาพแบบจริงจัง โดยเฉพาะมือของผู้ชายทนจับกล้องไร้กระจกขนาดเล็กทั้งวันไม่ได้ เพราะต้องกระชับกล้องด้วยนิ้วหลักๆสามนิ้วคือนิ้วกลาง นาง และโป้ง  ยิ่งกระบอกเลนส์ใหญ่มากขึ้นเท่าใดยิ่งถือยากมากขึ้นตามลำดับ ถ้าให้เลือกได้หากกริปเป็นของที่ให้มาฟรีส่วนใหญ่เลือกที่มีกริปเพราะจับถนัดกว่า

สมัยก่อนกล้องถ่ายรูปอาศัยเลนส์ดีๆหนึ่งตัวที่จะรวมแสงให้ภาพตกลงบนระนาบฟิล์มหรือเซนเซอร์ เท่านั้นเอง แต่ในปัจจุบันขอแค่รวมแสงลงไปได้ก็พอไม่จำเป็นต้องดีเลิศ นอกนั้นเป็นเรื่องของโปรเซสเซอร์จัดการแก้ข้อบกพร่องทั้งหมดและเพิ่มความละเอียดของภาพขึ้นไปอีก ใช้วิธีใส่สองเลนส์แล้วเอามาประมวลเข้าด้วยกันทำให้ภาพมีความชัดลึกชัดตื้นได้อย่างใจและนี่คือแนวทางของกล้องมือถือ จึงเป็นสิ่่งน่าวิตกว่า ตลาดกล้องถ่ายรูปกำลังเล็กลงอย่างต่อเนื่องเพราะกล้องมือถือเข้ามาแทนที่จะทำให้บริษัทกล้องและโรงงานต้องปิดตัวลง และในที่สุดกล้องจะเป็นของพรีเมี่ยมที่มีราคาแพงมาก 
ในแง่ของบริษัทผู้ผลิตกล้อง โจทย์ใหญ่คือส่วนแบ่งลูกค้ากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง  และกลยุทมธ์ของค่ายมือถือหลักคือ กล้องเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเปลี่ยนยี่ห้อโทรศัพท์  สำหรับค่ายมือถือใหญ่ทั้งหลายก็มองว่าในอีกห้าปีข้างหน้านั้นสมาร์ทโฟนจะเปลี่ยนรูปแบบไปอยู่ในรูปแบบการพกพาที่ใช้ผูก เหน็บ หรืออื่นๆแทน คือมีขนาดเล็กลงเช่นผูกเปนนาใิกา เป็นหูฟัง  และทำงานด้วยคำสั่งเสียง หรือมีเซนเวอร์จับตามการเคลื่อนไหว  ทุกอย่างพึ่งพาสมองกลอัจฉริยะ AI   ทั้งบริาัทผู้ผลิตโทรสัพท์เคลื่อนที่ และผู้ผลิตกล้องบันทึกภาพมีโจทย์ให้ขบคิดไม่น้อย  เพราะหากการวิจัยพัฒนาผิดพลาด จะทำให้บริาัทล้าหลังไปชนิดตามไม่ติดจนกลายเป็นตำนานไปก็เป็นได้   อาจต้องมีการควบรวมเนื่องจากตลาดเล็กลง แต่ตลาดที่เล็กลงเป็นตลาดที่รู้ขนาดว่าต้องการกล้องเพื่อการถ่ายภาพอย่างจริงจัง
เมื่อยังใช้กล้องฟิล์มที่มีระบบอิเลคทรอนิคทันสมัย กล้องพร้อมเลนส์เกรดสูงชุดละสามหมื่นบาทคือหรูหรามาก  ปี 2006 ผมซื้อกล้องดิจิตัลรุ่นสูงพร้อมเลนส์เกรดเยี่ยมหนึ่งชุดได้ในราคา 45,000-50,000 บาท   ปี 2014 เฉพาะกล้องเกรดดีเยี่ยมอย่างเดียวไม่รวมเลนส์ราคาแตะหนึ่งแสนบาท  กล้องพร้อมเลนส์หนึ่งชุดในปัจจุบันที่มีคุณภาพดีไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ช่องมองภาพผ่านกระจกหรือไร้กระจกสะท้อนต้องมีงบประมาณ 150,000-200,000 บาท ดาวน์รถเก๋งได้สบายๆหนึ่งคัน  ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ได้มาแค่เลนส์หนึ่งตัว แต่ยังพ่วงอุปกรณ์เสริมต่างๆเพื่อให้ทำงานได้สมบูรณ์ตามไลฟ์สไตล์ของคน   อยู่ที่ว่าคนซื้อจะมีวิจารณญานคำว่าพอดีแค่ไหน  โดยส่วนใหญ่ผมเห็นแต่ละคนมีเลนส์ตั้งแต่ 3-6ตัวขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น