วันอังคาร, มกราคม 30, 2567

เมืองจีน: การสื่อสารในยุครหัสภาพสองมิติ Alipay and QR code issued in new China

 

AliPay และ WeChat เป็นแอพลิเคชันที่ทรงพลังที่สุดในประเทศจีนในขณะนี้  เป็นสิ่งใหม่ที่ผมต้องเรียนรู้เมื่อเตรียมตัวไปเที่ยวประเทศจีน  ครั้งสุดท้ายที่ผมไปจีนคือปีใหม่ปี 2018 หลังจากที่ไปจีนติดต่อกันทุกปีอยู่ระยะหนึ่ง เวลาผ่านไปเพียง 5 ปี เหมือนต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจกับการใช้ชีวิตในจีนใหม่อีกครั้งหนึ่ง  ประเทศจีนอาศัยการยืนยันตัวตนเพื่อผ่านเข้าสถานที่ต่างๆในหลายรูปแบบ แล้วแต่ความสดวกของคนหลายๆรุ่นในสังคม  เช่นบัตรประจำตัวที่มีแถบแม่เหล็กสำหรับยืนยันตัวตนแตะบัตรเพื่อเข้าออกสวนสาธารณะต่างๆที่มีไม้กั้น  บัตรเหล่านี้ยังผูกไว้กับกระเป๋าเงินเพื่อให้คนสูงอายุแตะบัตรขึ้นรถเมล์ได้สดวกขึ้นเนื่องจากความไม่ชำนาญในการเข้าถึงแอพลิเคชั่นต่างๆ  ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องสามารถทำตัวเป็นเครื่องอ่าน reader และเป็นเครื่องสร้างรหัสในระบบแท่งแบบมิติเดียว และระบบ QR ที่เป็นภาพสองมิติได้ ทำให้มีความสดวกในการทำธุรกรรมต่างๆเป็นอย่างมาก  การ์ดพลาสติกเหลือแต่บัตรประจำตัวประชาชน แต่รหัสภาพกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว

 ประเทศตะวันตกมี line สำหรับอ่านรหัส QR  ซึ่งเชื่อมต่อกับเอกสารระบบกูเกิล  ทำให้เราสามารถเข้าไปอ่านข้อความ ทำแบบสอบถาม หรือทำการบ้านได้สดวก  แต่ระบบของจีนใช้แอพลิเคชั่น WeChat  สำหรับการเชื่อมต่อต่างๆ  การจองคิว นัดหมาย รวมทั้งการผูกไว้กับกระเป๋าเงิน  ตามร้านค้าต่างๆจึงมีรหัส QR ทั้งของ AliPay และWechat ให้ลูกค้าได้เลือกใช้  หากไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ที่จีน  โรงแรมต่างๆมักขอให้เราเพิ่มเพื่อนทาง WeChat หรือแม้กระทั่งการรวมกลุ่มในกรุ๊ปทัวร์เพื่อสดวกต่อการตามตัวและนัดหมาย

เมื่อเราโหลด AliPay เข้ามาไว้ในมือถือของเราแล้ว ก่อนอื่นมีขั้นตอนที่เราต้องจัดการคือการยืนยันตัวตน ที่มุมล่างขวา มี เมนู Account ให้เข้าไปตั้งบัญชีและยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขโทรศัพท์ไทยโดยกรอกรหัสที่เขาส่งมาทางกล่องข้อความก่อน  ให้เราตั้งรหัสผ่านด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก สัญญลักษณ์ และตัวเลขเพื่อแก้ไขข้อมูลบัญชีส่วนตัวในภายหลัง แอพฯจะให้เรากรอกข้อมูลตามพาสปอร์ต และให้เรายืนยันด้วยการถ่ายหน้าพาสปอร์ตของเรา หากเราต้องการใช้ใบหน้าแทนการป้อนรหัสเลข 6 ตัวเวลาชำระเงิน เราก็สามาถถ่ายรูปใบหน้าของเราเก็บไว้ในบัญชีส่วนตัวได้ ซึ่งรวมถึง ใส่ข้อมูลบัญชีบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ของธนาคาร ในหน้าเมนูบัญชีของเรามีเครื่องหมายการตั้งค่า setting อยู่ที่มุมขวาบน เราสามารถเข้าไปกำหนดความปลอดภัย ลำดับการใช้บัตรหลักและบัตรรองเพื่อชำระเงิน การเลือกจดจำใบหน้าแทนการป้อนรหัส และอื่นๆได้  ในหน้าบัญชีส่วนตัวของเรามี เมนู My transaction สำหรับตรวจสอบรายการใช้จ่ายประจำวันของเราได้อีกด้วย สิ่งที่ต้องคำนึงเมื่อผูกบัตรและหมายเลขโทรศัพท์ไว้กับ AliPay คือ

 1.      หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้กับแอพฯ AliPay  ความสดวกและความนิยมของคนไทยคือ social media ต่างๆที่เราคุ้นเคย กูเกิลแมพ กูเกิลแปลภาษา แอพฯเหล่านี้ไม่สามารถใช้ที่จีนได้หากเราซื้อซิมโทรศัพท์ของประเทศจีน China Mobile, China Unicom สำหรับใช้งาน  ดังนั้น การมีซิมไทยที่สามารถใช้แอพลิเคชั่นต่างๆได้ครบเป็นเรื่องที่อุ่นใจยิ่ง  แต่ข้อเสียของการใช้ซิมไทยก็มีเช่นกัน  คือเราไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบินเองได้  เราต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์สถานีรถไฟเท่านั้น โดยใช้เล่มพาสปอร์ตไปซื้อ    การเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์จากซิมที่ใช้อยู่ในเมืองไทย เป็นซิมท่องเที่ยวก็สามารถทำได้ เมื่อเปลี่ยนซิมแล้ว ให้เข้าไปแก้ไขในบัญชีส่วนตัวเป็นหมายเลขใหม่  AliPay จะส่งรหัส OTP มาให้ยืนยันพร้อมกับให้เราป้อนรหัสเพื่อยืนยันตัวตน   การเปลี่ยนซิมท่องเที่ยวของไทย การเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์จึงไม่ใช่ปัญหาของการผูกกับบัญชี AliPay

2.      2.  การผูกบัตรต่างๆกับ AliPay บัญชีบัตรเครดิต สามารถผูกได้กับ AliPay จะผูกไว้หลายบัตรก็ได้  แต่เขาจะให้เราเลือกบัตรหลักที่ใช้ชำระเงิน  ซื่งเราสามาถแตะเปลี่ยนเพื่อเลือกบัตรได้ก่อนชำระเงินทั้งในเมนู Pay/Receive และเวลาที่เรา scan  การใช้บัตรเครดิตชำระจะมีค่าธรรมเนียมของธนาคาร ค่าการแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศ  แต่ถ้าเรามีบัตรเดบิต  เราสามารถหักบัตรเดบิตโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมต่างๆ  ผมมีบัตรเดบิตไป 2 ใบ บัตรสองใบนี้สมัครผ่านแอพฯธนาคาร  ดังนั้นการทำธุรกรรมต่างๆจะทำผ่านแอพฯของธนาคารนั้นๆ  จึงเป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งที่เลือกใช้ซิมท่องเที่ยวของไทยและเปิดโรมมิ่งขณะท่องเที่ยวในต่างประเทศ   ใบหนึ่งเป็นของธนาคารกรุงไทย เป็น travel card ที่ผูกกับ UnionPay  แต่ผมมีปัญหาทุกครั้งที่ใช้ โดยแอพฯ Next ของธนาคารจะขึ้นข้อความว่าระบบของธนาคารกรุงไทยใช้ไม่ได้ชั่วคราว  อีกบัตรหนึ่งที่ผมนำไปด้วยคือ boarding card ของธนาคารกรุงศรี   พบว่าสามารถใช้งานได้สดวกมาก  ผมสามารถแลกเงินหยวนฝากไว้ในบัตรจากเมืองไทยในอัตราเพียง 4.88 บาทเท่านั้น  เมื่อผูกกับบัตร AliPay และเลือกใช้เป็นช่องทางจ่ายเงินหลัก  มันสามารถใช้ได้อย่างราบรื่น  การมีทั้งบัตรเครดิตและบัตรเดบิตผูกไว้กับ AliPay มากกว่า 1 ใบ เป็นเรื่องที่ดี พบว่าในบางครั้งผมไม่สามารถชำระเงินด้วยบัตรเดบิตได้ มันจะขึ้นข้อความว่า  verification failed,  not secure in this environment  แต่มันสามารถใช้ผ่านบัตรเครดิตได้เมื่อเราเปลี่ยนบัตรชำระเงิน  ควรมีเงินสดติดตัวไว้จำนวนหนึ่ง เพราะบางครั้งพบว่า AliPay ปฏิเสธการทำงานเอาดื้อๆ แม้จะให้เจ้าหน้าที่จีนกดให้ ซึ่งเขาก็หมดปัญญา บอกให้ใช้เงินสด  พบปัญหาแบบนี้ครั้งเดียว เป็นกับโทรศัพท์ของผมและคนที่ไปด้วยกัน

วิธีการใช้งาน AliPay  เมื่อลงทะเบียนบัญชีเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถใช้งานได้ในการซื้อสินค้า จ่ายค่าพาหนะ ซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆซึ่งมีอยู่ในแอพลิเคชั่นของ AliPay อย่างครบถ้วน  การซื้อสินค้าจากร้านค้าต่างๆผ่านแอพลิเคชั่น สามารถใช้โทรศัพท์ scan รหัส QR ของร้าน เพื่อกดตัวเลขจำนวนเงินที่ต้องชำระ และกดยืนยัน  หากเราไม่ได้ใช้ใบหน้าเป็นการยืนยันตัวตน เราก็ใช้การกดรหัสชำระเงินแทน รหัสชำระเงินคือตัวเลข 6 หลัก  ส่วนรหัสการเข้าบัญชีส่วนตัว/การแก้ไขบัญชี เป็นตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญญลักษณ์  รหัสสองชนิดนี้ใช้ต่างกรรมต่างวาระกัน ต้องรู้ว่าเรากำลังใช้งานอะไร

 มีการชำระเงินอีกประเภทหนึ่ง  เป็นการเข้าไปในเมนู Pay/Receive   เมื่อเข้าไปในเมนูนี้ จะมีรหัสแท่ง และรหัส QR ของบัญชีธนาคารของเราปรากฏขึ้นมา  ร้านค้าจะใช้เครื่องยิงบาร์โค๊ดอ่านบัญชีของเราและดูดเงินออกไปเท่าจำนวนยอดที่เราซื้อสินค้า เหมือนที่เราชำระเงินร้าน 7/11 สดวกซื้อทุกประการ  การชำระเงินด้วยเมนู Pay/Receive สดวกมากเวลาเราไปซุปเปอร์มาร์เก็ต  เมื่อเราไม่ต้องการรอคิวนาน เราสามารถชำระผ่านตู้โดยสแกนรหัสสินค้าต่างๆเอง และชำระเงินผ่านเมนูนี้ได้เลย  ร้านในจีนไม่มีถุงใส่สินค้าให้ ต้องซื้อที่ตู้หรือนำถุงไปเอง   เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรรถไฟความเร็วสูง จำหน่ายบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ สถานีรถบขส. ใช้การชำระเงินในลักษณะนี้ทั้งหมด

 เมนู transport เป็นเมนูสำหรับการเดินทางด้วยรถเมล์และรถใต้ดินเป็นหลัก  เมื่อเข้าไปในเมนู จะเห็นเมนูย่อยว่าเลือก bus หรือ metro  ถ้าเราขึ้นรถเมล์ เราก็เลือก bus รหัส QR จะขึ้นมาให้เราหันรหัสนั้นไปจ่อกับเครื่องอ่านที่อยู่ข้างๆพลขับ  จะหักเงินจากกระเป๋าเงินของเราโดยอัตโนมัติ  รถเมล์ของจีนมักจะราคาเดียวกันตลอดสาย จึงเป็นการชำระเงินเมื่อขึ้นรถเลย  ถ้าเป็นในเมืองราคาจะอยู่ที่ 2 หยวน  หากวิ่งไกลข้ามเมืองราวสิบกิโลเมตรขึ้น ราคาอาจเป็น 3-5 หยวน ชำระครั้งเดียวนั่งยาวตลอดสาย   สำหรับการนั่งรถใต้ดิน เราจะเข้าไปที่เมนูย่อย metro  รหัส QR ของบัญชีเราจะขึ้นมาที่หน้าจอ  ให้จ่อเข้าไปที่เครื่องอ่าน ไม้กั้นจะเปิดให้เราเข้าไป  การอ่านบัตรครั้งแรกเป็นการอ่านสถานีที่เราเริ่มต้นออกเดินทาง   เมื่อไปถึงสถานีปลายทางของเรา เราจะให้เครื่องอ่านหรัส QR เราอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ไม้กั้นเปิดให้เราออกจากสถานีเพร้อมกับคิดเงินค่าบริการ  ค่าบริการรถใต้ดินของจีนแต่ละสายไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 2 – 5 หยวน แล้วแต่ระยะทางและสัมปทาน (ผมเข้าใจเองว่าอย่างนั้น)   ค่ารถ 2 หยวนนี้ บางทีผมเปลี่ยนเส้นทาง 3 สายก็มี

หน้าหลักของแอพฯอาลีเปย์  ชื่อเมืองจะอยู่มุมบนซ้าย สามารถเข้าไปเปลี่ยนสถานที่ได้

 
เมนู Pay/Receive  สร้างรหัสภาพบัญชีของเราสำหรับชำระเงิน สามารถแตะเปลี่ยนบัญชีชำระเงินได้ที่ใต้รหัสภาพ
 

สำหรับเมนู transport นี้ พึงระลึกว่า ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนเมือง เราต้อง activate โปรแกรมของเราใหม่ทุกครั้ง  โดยทำทั้งรถเมล์ และรถใต้ดิน  ประการแรก ต้องไปเปลี่ยนสถานที่เสียก่อน ชื่อสถานที่จะอยู่ที่มุมด้านบนซ้าย จะไม่มีการเปลี่ยนอัตโนมัติตาม GPS และเมื่อเราเข้าไปที่เมนูย่อย จะมีรูปการ์ดขึ้นมา  มักเป็นภาษาจีน และมีแถบเล็กๆถามว่าจะให้แปลภาษาหรือไม่ (แต่บางครั้งแถบเล็กก็ไม่ขึ้นมา ก็ต้องเดากันไป)  เราต้องเห็นด้วย Agree กับกฏระเบียบทุกอย่างถึงจะได้รหัส QR ส่วนตัวมาขึ้นรถเมล์ หรือเพื่อขึ้นรถใต้ดิน  หากเลือกไม่ถูกเป็นภาษาจีนล้วนๆ วิ่งหาเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์คนใดคนหนึ่ง  เขาจะรู้ว่าเราเป็นต่างชาติและช่วยกดให้  แต่จะมั่วดูก่อนก็ไม่ผิดกติกาอะไรเพราะบางทีเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นได้

 

ในเมนู Transport  จะมีรถเมล์ รถใต้ดิน และ แท๊กซี่ให้เลือก
  หากต้องการใช้บัตรรถเมล์ให้กด view

บัตรโดยสารจะปรากฏขึ้นมาบนจอ ให้เราเลือก activate ให้บัตรใช้งานได้ก่อน  กด Activate

เมื่อเราแตะยินยอมกฏระเบียบแล้ว ป้าย Agree and obtain card จึงจะทำงาน ให้เราตอบตกลง
  กด Agree

แอพฯจะถามว่าจะเริ่มใช้งานเมื่อไร  เราเตรียมจะขึ้นรถเรากด Use now
  
รหัสภาพจะขึ้นมาทันที และเราจะใช้รหัสภาพนี้สแกนเพื่อชำระค่ารถเมล์

การสร้างรหัสภาพของรถใต้ดินก็เหมือนรถเมล์
 แต่ทำในเมนูย่อย metro  แต่จะใช้รหัสภาพนี้เพื่อผ่านเข้า และออกไม้กั้น ระบบจำตัดเงินอัตโนมัติตามระยะทางที่โดยสาร

การใช้ AliPay เพื่อซื้อบัตรผ่านประตูเข้าชมสถานที่ต่างๆ  อีกปัญหาที่มักพบคือเมื่อไปถึงหน้าอุทยานแห่งชาติ หน้าแหล่งท่องเที่ยว เรามักพบแต่รหัส QR แผ่นใหญ่ พร้อมคำสั่งภาษาจีน  บางแห่งมีมากกว่าหนึ่งแผ่น แถมรหัสก็หน้าตาไม่เหมือนกัน  ผู้คนจะมุงกันสแกนและซื้อตั๋วอุตลุด  ถ้าจะซื้อตั๋วก็ต้องเข้าไปที่เมนู scan   มันจะปรากฏรูปการ์ดเหมือนกับการ activate การ์ดรถเมล์ รถใต้ดิน แล้วก็กดตามคำสั่ง (ถ้ามีตัวช่วยแปลภาษา)  เวลานั้นไม่สามารถพึ่งใครเพราะต่างๆรีบเร่งกันทุกคน  ถ้าไม่สามารถทำได้ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงทางเข้าหรือโต๊ะจำหน่ายบัตร  การติดต่อเจ้าหน้าที่มักมีข้อดีกว่าทำเอง คือเขารู้ว่าเราเป็นคนต่างชาติ  ประการที่สอง  AliPay ของเราผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ไทย บางทีก็ทำเองสำเร็จ บางทีก็ไม่ได้  ประการที่สาม เมื่อเขาดูพาสปอร์ตของเรา เขาจะรู้ว่าเราถึงวัยที่จะได้ซื้อตั๋วครึ่งราคา  บางที่ก็ให้เข้าฟรีเลยก็มี ประหยัดไปถึง 100หยวนก็มี  อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า มี รหัส QR หลายแผ่นให้สแกน นั่นหมายความว่าสแกนตามคุณสมบัติผู้เข้าชม นักเรียน/นักศึกษา คนทั่วไป คนสูงวัย ฯลฯ   ปัญหาบางทีไม่ได้มีไว้ให้เราปวดหัวแก้เอง แต่พาโอกาสดีๆมาให้เสมอ  แต่ถ้าอยากลองเองก็ใช้เมนู Scan จะได้การ์ดขึ้นมา ให้เรา Activate ด้วยการกด Agree  เมื่อชำระเงินแล้วจะได้ตั๋วรหัส QR เอาไปสแกนผ่านไม้กั้น

 การซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงผ่าน AliPay เป็นเรื่องง่ายถ้าเราใช้ซิมประเทศจีนที่อ้างอิงหมายเลขโทรศัพท์ของเขา  ใน AliPay จะมีเมนู Trip Air/Train ให้เลือก  เราสามารถเข้าไปในเมนูและเลือก Train เพื่อดูตารางรถไฟได้  ก่อนอื่นต้องป้อนข้อมูลก่อนว่าเราจะเดินทางจากเมืองไหนไปเมืองไหน เลือกแสดงเฉพาะตารางเวลารถไฟความเร็วสูง (ค่ารถไฟธรรมดาและรถไฟความเร็วสูงไม่ต่างกันมากนัก)   เราจะเดินทางวันไหน แบบเที่ยวเดียว หรือไป—กลับ แล้ว search    จะเห็นขบวนรถเลขที่ เวลาออกจากสถานีต้นทาง เวลาถึงสถานีปลายทาง  ให้เราเลือกเวลาได้  ยิ่งถ้าเป็นเมืองใหญ่อย่างซ่างไห่ หนานจิง แทบจะไม่เชื่อสายตาว่าแต่ละขบวนออกวิ่งห่างกันเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น และมีรถแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง  สิ่งที่ต้องคำนึงคือ แต่ละเมืองมีสถานีรถไฟมากกว่า 1 สถานี  (3 สถานี เช่น  Shanghai railway station, Shanghai hongqiao railway station, West Shanghai railway station, South Shanghai Railway station เป็นต้น)   ราคาค่าตั๋วไม่เท่ากัน  ระยะเวลาวิ่งก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่เป็นรถ D หรือรถ G (ความเร็วสูงสุดที่ทำได้)  ผมมักเลือกขบวนที่เวลาสั้นที่สุดและถูกที่สุด ข้อสำคัญคือดูให้ดีแล้วไปให้ถูกสถานี  สำหรับสถานีรถไฟทุกแห่ง (รวมทั้งแอร์พอร์ต) มีรถใต้ดินไปถึง ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเดินทางไปยาก และยังมีรถใต้ดินที่เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟหลัก และแอร์พอร์ตหลักด้วย

 การไปซื้อตั๋วรถไฟที่เคาน์เตอร์ไม่ใช่เรื่องยาก  คนจีนพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ นักศึกษามหาวิทยาลัยพูดได้เป็นคำๆ แต่เขาพอฟังรู้เรื่องโดยจับคำสำคัญ   ผมมักเปิดหน้าเมนู Trip Air/Train ที่เลือกไว้ก่อนหน้า ชี้ขบวนรถที่ และเวลาให้เขาดู พร้อมกับบอกวันนี้ บอกวันที่  จะมีหน้าจอของเจ้าหน้าที่และผู้โดยสารแยกกันให้ดูด้วย ตัวหนังสือบนหน้าจอเจ้าหน้าที่ก็ตัวใหญ่มากเห็นชัดเจน  เขาจะพิมพ์ตั๋วให้เราตามหน้าพาสปอร์ต ทั้งชื่อ-สกุล หมายเลขประจำตัว และออกตั๋วให้ เราเพียงแต่ชำระเงินผ่านเมนู Pay/Receive  เมื่อได้ตั๋วมาให้ตรวจสอบ ตัวสะกดชื่อ-สกุล เลขประจำตัวพาสปอร์ตให้ถูกต้อง  บนตั๋วแบบสลิปจะระบุประตูหมายเลขที่จะไปขึ้นรถไฟ  ระบุโบกี้และเลขที่นั่ง  หากซื้อตั๋วล่วงหน้าจะไม่มีการระบุเลขประตูต้องไปดูเองจากแผงไฟใหญ่ในสถานที่วันเดินทาง

วันขึ้นรถไฟ  ให้ไปถึงก่อนเวลาขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 40 นาที  เพราะมีขั้นตอนที่ต้องผ่านเข้าไปหลายขั้นตอน และจำนวนผู้โดยสารรอคิวเป็นจำนวนมาก  ขนาดสถานีรถไฟเล็กๆของจีนประมาณ 20 เท่าของสถานีหัวลำโพง  มีประตูออก 12 ประตูขึ้นไป โดยแยกเป็นฝั่ง A และ B หนึ่งประตูพาไปลงชานชลาได้ 2 ชานชลา  ดังนั้น 12 ประตูจึงพาไปสู่ชานลาที่มีรถไฟเข้ามาเทียบได้มากถึง 48 ขบวน  มีคนรอขึ้นรถไฟหลายพันคน    ทางเข้าสถานีเพื่อไปขึ้นรถไฟ departure จะอยู่ที่ชั้น 2  ประตูต่างๆ gate อยู่ชั้น 3 ของอาคาร  ชานชลา platform อยู่ชั้น 2 และทางออกของผู้โดยสารขาเข้า arrival จะอยู่ชั้น 1  เขาออกแบบไว้อย่างนั้น  เคาน์เตอร์ขายตั๋ว ticket อยู่ชั้น 2 แต่คนละส่วนกับทางเข้าสถานีไปขึ้นรถไฟ

 ขั้นตอนแรกคือการยืนยันตัวตน  คนจีนเข้าสถานีด้วยบัตรประชาชนแตะบัตรเข้าที่แป้นอ่านแถบแม่เหล็ก  ส่วนคนต่างชาติต้องเข้าที่เคาน์เตอร์ เช็คพาสปอร์ตเทียบกับบัตรโดยสาร เขาจะค้นเลขบัตรของเราจากคอมพิวเตอร์ด้วยเป็นการตรวจยืนยัน  เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว นำสัมภาระทุกชิ้นผ่านเครื่องเอกซเรย์และเช็คร่างกายเป็นรายบุคคลเพื่อหาอาวุธ  ขั้นตอนนี้ทำทีละคน  เมื่อผ่านขั้นตอนการเอกซเรย์ให้มองป้ายไฟที่ระบุลำดับขบวนรถตามเวลารถออกเพื่อดูว่าให้ไปที่ประตูไหน  ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 3 ตรงไปที่หมายเลขประตูตามที่ระบุในตั๋วหรือบนแผงป้ายไฟใหญ่ของสถานีเพื่อรอเวลา  ที่หน้าประตูมีป้ายไฟระบุขบวนรถ สถานีต้นทางและปลายทาง เวลาออก  ต้องสังเกตป้ายไฟว่าขบวนรถของเราเปลี่ยนเป็นตัวหนังสือสีเขียวถึงจะเป็นเวลาเข้าประตูได้  ประตูจะเปิดให้เราลงไปที่ชานชลาได้ก่อนเวลารถออกประมาณ 15 นาที  การจะลงชานชลาต้องยืนยันตัวตนอีกครั้งทำทีละคนให้ไม้กั้นเปิดออก  คนจีนยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน  ส่วนคนต่างชาติทำเองได้เลยไม่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ จะมีหน้าจอให้วางพาสปอร์ตเพื่อสแกนหน้าพาสปอร์ตของเรา พอสแกนเสร็จไม้กั้นถึงเปิดออกให้เราลงไปที่ชานชลาที่อยู่ชั้น 2   เรามีเวลาเดินไปจุดขึ้นรถไฟเพียงเล็กน้อยก่อนรถไฟจะเข้าเทียบ  หนึ่งขบวนประมาณว่ามีถึง 16 โบกี้ ก็วิ่งลากกระเป๋ากันเป็นระยะทาง 100-200 เมตรถ้าเราอยู่โบกี้ท้ายๆ   บนพื้นขอบชานชลา จะมีตัวเลขบอกว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งขึ้นรถไฟโบกี้ที่เท่าไร  ให้เดินไปรอรถไฟที่ตำแหน่งนั้น  เดี๋ยวนี้คนจีนมีวัฒนธรรม คนส่วนใหญ่ยืนเป็นแถวรอต่อคิวกันแล้ว (ยกเว้นในสถานีรถใต้ดิน)  ถ้าเราเข้าประตูช้าหรือมาสายจนชานชลาว่าง เขาขึ้นรถไฟกันแล้ว แนะนำให้ขึ้นโบกี้ที่ใกล้ที่สุดก่อนประตูรถไฟจะปิดแล้วค่อยเดินไปหาโบกี้ของเราบนรถ   ในรถไฟความเร็วสูงมีห้องน้ำ มีตู้กดน้ำร้อนที่ร้อนจัด มีที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มีที่เก็บอยู่ส่วนท้ายแต่ละโบกี้ 

 เมื่อเราไปถึงจุดหมายปลายทางจะมีทางออกสถานีลงไปที่ชั้น 1  และผ่านไม้กั้นด้วยการสแกนหน้าพาสปอร์ต  ดูเหมือนว่าเมื่อเราผ่านจุดเช็คอินเข้ามาได้แล้ว ตั๋วรถไม่มีความสำคัญอีกต่อไป  ในขบวนรถจะมีเจ้าหน้าที่มาเดินเช็คที่นั่งตลอดเวลา เขาดูที่นั่งผู้โดยสารว่าสัมพันธ์กับตั๋วที่ขายไปไหมผ่าน ipad เล็กๆ  สถานีขนาดใหญ่ที่เคยเจอที่หางโจว South railway station  มีประตูมากถึง 25 ประตู และแยกเป็น  A กับหากไม่ต้องการพลาดเที่ยวรถไฟ ควรไปถึงสถานีก่อนเวลาพอสมควร  แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย สามารถกลับไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของเงินคืน หรือเปลี่ยนเที่ยวรถไฟใหม่ได้ เขาจะคืนเงินผ่านช่องทาง AliPay

 ผมไม่เคยมีประสพการณ์เรียกแท๊กซี่ ผ่านเมนู Transport  แต่สามารถโบกเรียกรถได้เลยจากข้างทาง หรือจากจุดจอดแท๊กซี่  คนขับรถในจีนมีรหัส AliPay และ WeChat ให้เราสแกนชำระค่าโดยสารกันทุกคน  แท๊กซี่ในเมืองบังคับใช้มิเตอร์ซึ่งคนขับต้องลงบันทึกสถานที่ปลายทางเวลาที่เราเรียกรถ  ค่าโดยสารจ่ายตามมิเตอร์ และบวกค่าเซอร์ชาร์จอีก 1 หยวนเพราะเป็นรถไฟฟ้า EV   สำหรับรถแท๊กซี่ที่เรียกไปส่งระหว่างเมืองแล้วแต่ตกลงราคากันจึงไม่มีการใช้มิเตอร์  ราคาโดยประมาณอยู่ที่กิโลเมตรละ 1- 1.5 หยวน แล้วแต่ความสามารถต่อรองของเรา เขาอาจขอรับผู้โดยสารอื่นเพิ่มเป็น car pooled ก็ได้  ถ้าเราไม่อยากนั่งรวมกับคนอื่นต้องบอกเขาแต่แรก

สำหรับการชำระเงิน เมื่อชำระเงินผ่านเรียบร้อย จะมีคำพูดที่เป็นเสียงดังจากลำโพงของผู้รับให้ได้ยินชัดเจน (แต่ฟังไม่ออกว่าตกลงผ่านหรือไม่ผ่าน)  ในขณะเดียวกันจะมีข้อความแจ้งเตือนในมือถือขึ้นมาว่าเราได้ทำรายการชำระเงินนั้นแล้วสำหรับยืนยันหากมีปัญหา ซึ่งขึ้นมาจากทั้งแอพฯ AliPay และแอพฯของธนาคารไทย  สำหรับรหัสบัญชีที่ใช้โอนเงินออกจากกระเป๋าของเราใน Pay/Receive เป็นรหัสที่ปกปิด ไม่เปิดเผยโดยไม่จำเป็น เราใช้กับเครื่องอ่านที่เชื่อมต่อกับรายการเก็บเงินเครื่องโต๊ะแคชเชียร์เท่านั้น แม้ว่าจะมีโอกาสใช้ AliPay และ WeChat ได้ไม่เต็มรูปแบบของแอพลิเคชั่น ก็พบว่ามีความสดวกสบาย ใช้งานได้ไม่ยาก  คนจีนมักให้ความช่วยเหลืออย่างดีเสมอเมื่อเราพบปัญหา แม้การสื่อสารจะเป็นอุปสรรคบ้าง แต่ความเอื้อเฟื้อมีไม่ขาด  ยิ่งทราบว่าเราเป็นคนไทยแทบจะรู้กันทั้งบาง และเขาฝากดูแลกันเป็นต่อๆเวลาที่เรานั่งรถประจำทางไปต่างเมืองที่ต้องต่อรถระหว่างทาง  มีครั้งหนึ่งที่เด็กสาวนักศึกษามหาวิทยาลัยแนะนำให้ขึ้นรถชัทเทิ่ล  กลายเป็นรถที่ไม่มีการจอดป้ายระหว่างทางที่เราต้องการจะลง  เธอรู้สึกผิดถึงขนาดรีบลงมาขอโทษที่สถานีปลายทาง และจ่ายค่ารถเรียก grab ให้ไปส่งเราที่จุดหมาย  ซึ่งเราก็ได้แต่รับไมตรีไว้และคืนเธอเป็นเงินสดพร้อมกับธนบัตรไทยเป็นที่ระลึก   ภาษาไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป เพราะทั้งไทยและจีน ต่างเจรจาโต้ตอบกันผ่านแอพฯแปลภาษาของแต่ละฝ่ายได้ง่ายดาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น